วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

มนุษย์ต่างดาวกล่าวถึงกฏธรรมชาติ


มนุษย์ต่างดาวกล่าวถึง...กฏธรรมชาติ
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 6)


.....

(คุณพิศมัย)  อยากถามว่า จะทำบุญแบบไหน  หรือนั่งสมาธิ  หรือถวายสังฆทานแบบไหน? ที่จะถวายพระองค์ท่าน
 
(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ถวายข้าพเจ้าน่ะรึก็ถวายปัญญาซิ  เจ้าก็ปฏิบัติซิ  สิ่งที่ข้าพเจ้าสอน  สิ่งที่ข้าพเจ้าเตือน  และโยงใยไปถึงธรรมะนั้น  เจ้าปฏิบัติเลย ข้าพเจ้ารู้นะ  ถ้าเจ้าปฏิบัติมาก  ไตร่ตรองมาก  เรียกว่า ถวายมาก  และข้าพเจ้าจะไปรอนะ...เออ...ไม่ต้องมาเป็นของ   เป็นวาระจิตของเจ้า  ซึ่งจะปฏิบัติถวายข้าพเจ้า   ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะรู้ใครถวายมาก  ถวายน้อย  นับมานะแต่ละคนน่ะ  เดี๋ยวเล็งไปก่อนนะ  กลับไปถวายมาก ถวายน้อย  จะถวายข้าพเจ้านะ  ถวายอย่างนี้  ต้องถวายด้วยปัญญาของพวกเจ้า  ซึ่งจะต้องฟังธรรมสะสมบารมีให้มันมากขึ้น  รวมทั้งการเตือนจากผู้มีบารมี  ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสามัญธรรมดา  บุคคลซึ่งมีพระญาณของทวยเทพได้ผ่านพระญาณลงมาบอก  หรือบุคคลที่มีพระญาณของมนุษย์ต่างดาว  ได้ผ่านมาบอกนั้น  เป็นสิ่งสำคัญทั้งนั้น
 
เพราะฉะนั้น  เจ้านะ  ข้าเล็งไว้ก่อนนะ  จะถวายข้าพเจ้าใช่ไหมสร้างปัญญาถวายนะ
 


(คุณวรวิทย์)  ที่ท่านพูดถึงนี้  หมายถึงเวลานั่งสมาธิให้นึกถึงท่านใช่ไหม?
 


(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ยังไม่เข้าใจอีกหรือไม่ใช่อย่างนั้น  ก็คือการที่เจ้าน่ะแหละไปไตร่ตรองเรียนรู้ในธรรมของพระพุทธองค์  แล้วก็จากการสร้างเสริมสติปัญญาของพวกเจ้า  แล้วก็ปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะเสียดทานทางโลก  เพื่อที่จะเข้ามาหาทางธรรมนั่นแหละ  เรียกว่าถวายข้าพเจ้าแล้ว  ไม่ต้องมานึกถึงข้าพเจ้าหรอก  ข้าพเจ้ารู้เอง
 


ธรรมชาติ บอกว่า...มนุษย์นี้มีการเกิด ... ก็ต้องมีการแก่  เพราะฉะนั้น ถ้าใครแก่แล้วจะฝืนไม่ให้แก่  ก็ต้องมีความทุกข์  นั่นก็คือกฏธรรมชาติ  เพราะฉะนั้น  กฏธรรมชาติมีอยู่ทั่วแสนโกฏจักรวาล  เป็นหนึ่งเดียวกัน  แต่การที่ใครจะเป็นผู้ที่มีญาณหยั่งรู้มาบอกกฏของธรรมชาติให้ละเอียดยิบ นั้น  มันไม่มีได้ทุกคน 
 

เจ้า ลองคิดดูว่าใครที่จะรู้ลึก  ศาสนาทุกศาสนา  ก็เรียนรู้กฏธรรมชาติได้  แต่ใครจะรู้ได้ 100 %   ใครจะรู้ 50 %  ใครใครจะรู้ 20 %  ใครจะรู้ 5 %  ใครจะรู้ 1 %  หรือ 0 %  เพราะฉะนั้น  พวกเจ้าต้องไตร่ตรองในบารมีของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ว่าท่านรอบรู้    "ใบไม้ในกำมือเดียว"  ท่านนำมาสอน  พวกเราก็ยังเรียนรู้กันไม่หมดแล้ว  เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่อยู่นอกกำมือท่าน  แต่นำมาประกอบการที่พวกเจ้าจะเรียนรู้ธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงนำมาสอน 
 
เพราะ ฉะนั้น  มนุษย์ต่างดาว    จริง ๆ ในหลักธรรมะของพระพุทธองค์ที่สอนใน 84000 พระธรรมขันธ์  ท่านไม่เน้นให้มานับถือมนุษย์ต่างดาว  หรือให้มาติดต่อมนุษย์ต่างดาวหรอกนะ  แต่ในเวลาวิกฤติอย่างนี้  มนุษย์ต่างดาวก็ลงมาอนุโมทนา   แต่นั่นก็เป็นในสิ่งหนึ่ง  ซึ่งท่านพูดไว้ในพระไตรปิฎก

 
เพราะฉะนั้น  ท่านได้รอบรู้ไปในแสนโกฏจักรวาล  ท่านรู้ท่านเห็น  แต่สิ่งที่มีประโยชน์กับพวกเจ้า  นั่นคือ
"กฏแห่งกรรม" 

พระธรรมที่พวกเจ้าละเลยกันมาเป็นเวลานานหลายปีนั่นแหละ  เอามาเถอะ   นั่นคือสิ่งสุดยอดแล้ว 
 
เพราะ ฉะนั้น  ทำไมท่านไม่ไปสอนวิชามนุษย์ต่างดาว ตั้งแต่ 2,500 ปี เพราะอะไรเพราะตอนนั้นมันไม่มีประโยชน์  มันไม่มีประโยชน์กับดวงจิตของพวกเจ้า  เรียนรู้เรื่องโลกของข้าพเจ้า  แล้วพวกเจ้าก็ตายไปตกนรก  มันมีประโยชน์ไหม
 
แต่ เรียนรู้พระธรรม  เรียนรู้กฏธรรมชาติ  ตายไปแล้วได้เสวยสุขในทิพยสมบัติ  หรือได้บรรลุมรรคผลนิพพาน  อันไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน  เพราะฉะนั้น  สิ่งที่พวกเจ้าได้รู้ว่า  พระธรรมของข้าพเจ้าที่นำมานั้น  ก็คือ..."กฏธรรมชาติ"  นั่นคือกฏอันเดียวกัน 
 
เพราะฉะนั้น  ธรรมของพระพุทธองค์  นั่นก็คือ "กฏของธรรมชาติ"  ซึ่งท่านมีปัญญาหยั่งรู้มากกว่าข้าพเจ้ามากมายหลายร้อยหลายพันเท่านัก  เพราะฉะนั้น  เศษเสี้ยวที่ข้าพเจ้านำมาบอก  ก็จะมีอยู่ในพระธรรมของพระพุทธองค์ทั้งนั้น...เข้าใจหรือยังล่ะ.. 
.........................................................................................