วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มายาดวงจิต


ข้อความส่วนหนึ่งของการให้โอวาท
จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 30 มกราคม 2542
ณ เขากะลา  นครสวรรค์


ในเรื่องของ "มายาดวงจิต"



 
...............


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)   เมื่อ 2 ครั้งก่อนที่ผ่านมา  ก็มีความจำเป็นที่ต้องนำพระญาณลงมา  เพื่อบอกกล่าวสาวกผู้ที่จะมาเป็นทหารในกองทัพธรรมของข้าพเจ้า  ขั้นตอนไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร  แต่วันนี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์  พร้อมทั้งบุคคล  พร้อมทั้งสาระ  พร้อมทั้งสถานที่  เพราะสถานที่ตรงนี้  ที่พวกเจ้านั่งกันอยู่นี้  เป็นสถานที่ตั้งของการทำพิธีเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว  ที่พวกเจ้าเรียกกัน ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์   เมื่อปีที่แล้ว  เพราะว่าทุกคนคงจะได้รับรู้ถึงประวัติต่าง ๆ และเรื่องราวต่าง ๆ ของกลุ่มบุคคลซึ่งได้ต่อสู้ฝ่าฟัน  จนกระทั่งมีการนำธรรมไปเผยแพร่  มีการนำธรรมไปปฏิบัติ  ต่อตนเองและครอบครัว และต่อผู้มีพระคุณ

มาบัดนี้  ถึงกาลที่ข้าพเจ้าจะต้องแถลงให้กับสาวกที่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือแก่มวลมนุษย์ ในอนาคตกาล  กาลข้างหน้าอันใกล้นี้

ข้าพเจ้า หรือที่พวกเจ้าเรียกกันว่า ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต    ข้าพเจ้าอยากจะเน้นย้ำในการที่ข้าพเจ้าได้ตรัสว่า  อนาคตอันใกล้นี้  คำว่าใกล้ของข้าพเจ้า  มันหมายถึงใกล้จริง ๆ ใกล้จนแทบจะเตรียมตัวไม่ทันกันอยู่แล้ว   มนุษย์ทั้งหลาย  บ้านเมืองของเจ้า  บ้านเมืองที่เจ้าอยู่  เมืองหลวงของเจ้าในอนาคตกาลนี้  จะเป็นดั่งปัจจุบันของประเทศที่เกิดแผ่นดินไหว  พระธรณีพิโรธเมื่อเร็ว ๆ นี้  ทราบกันบ้างไหม? กินเนื้อที่เท่าไร  นั่นเป็นปัจจุบันของเขา แต่จะเป็นอนาคตอันใกล้ของเมืองหลวงของเจ้าจำไว้ 

แล้วกระไรหรือ  ชีวิตของพวกเจ้า  ชีวิตของพี่น้อง ญาติ มิตร สหาย เพื่อร่วมประเทศของพวกเจ้าใกล้จะเป็นแบบปัจจุบันของเขาแล้ว  เพราะฉะนั้น  อนาคตอันใกล้ของเมืองที่พังลงไปไม่ต้องพูดถึง  แต่เจ้ามันไกล  มันเห็นไกลเหลือเกิน  มันอยู่ต่างประเทศ  แต่ทำไมเจ้าถึงรู้สึกว่าไกล  มันไกลเพราะอะไรรู้มั๊ย?  รู้สึกว่าไกลเพราะความประมาทในใจของพวกเจ้า  ใครที่คิดว่ามันไกลตัว  ยิ่งไกลมากยิ่งประมาทมากในวาระจิตของพวกเจ้า 

ข้าพเจ้า  พร้อมทั้งเทพที่รักษาในผู้ที่มีบุญบารมีได้มองดูอยู่ตลอด  มันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซ่อนกล  โดยที่พวกเจ้าก็แทบจะไม่รู้จักจิตของตัวเอง  แทบจะไม่รู้จักตัวเองในส่วนรวม


....(1)
 
ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างในโลกของเจ้า  เจ้าเคยดูมายากลเคยดูมั๊ย?  บางคนอาจจะไม่เคยดูต่อหน้าผู้ที่เล่น  บางคนอาจดูผ่านสื่อต่าง ๆ ในเทคโนโลยีของพวกเจ้า 

เจ้า ลองคิดดูว่า  วัตถุซึ่งบุคคลที่นำมาแสดงกับพวกเจ้า  เขาได้ฝึกฝนมาดีแล้ว  มาทำให้พวกเจ้าดู  ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นกล  แล้วจับมันได้มั๊ย.... จับไม่ได้เพราะอะไร?  เพราะเขาเร็ว  แต่ที่สำคัญ  เพราะเราไม่รู้  เราไม่รู้ทันไอ้คนที่มันเล่นให้เราดูใช่มั๊ย?  ไม่รู้ว่ามันเอาไปซ่อนไว้ตรงไหน  หรือคิดว่าจะไปซ่อนไว้ตรงนั้น  แต่จับตาดูไม่ทัน  ไม่รู้ว่ามันจะมาทางไหน  และจะไปทางไหน 

นั่น คือตัวอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน  ซึ่งข้าพเจ้าเอามาเปรียบเทียบให้เจ้าดูว่า  สิ่งซึ่งเป็นวัตถุที่มองเห็น  ถ้าเจ้าไม่รู้เท่าทันมัน  เมื่อดูกี่รอบ กี่รอบ ก็จนปัญญา  ไม่รู้จะไปจับผิดตรงไหน  แต่นั่นยังเป็นวัตถุ  แต่สิ่งที่เป็นจิตใจ  รายละเอียดคือดวงจิตของเจ้า  ผ่านการสะสมมาอย่างดีของกิเลสตัณหา  ของราคะต่าง ๆ ฝึกปรืออย่างดี  เทียบกับนักมายากลแล้วดีมากกว่าไม่รู้จักเทียบยังไง  หมื่นเท่า   พันเท่า แสนเท่า  มันเทียบกันไม่ได้    กิเลสมันหมักหมมในจิตสันดานของพวกเจ้า  เปรียบเสมือนนักมายากลฝีมือดี   ระดับโลกระดับจักรวาลอะไรก็แล้วแต่  ฝีมือดีมาก 

แล้วก็เปรียบการรู้เท่าทันของตัวของเจ้า  ของสติปัญญาในการระลึกรู้ของพวกเจ้า  ขนาดดูด้วยตามองเห็น...วัตถุ  ผู้ฝึกปรือมีความรู้ความชำนาญแต่พอประมาณ  มีการรับรู้บ้างว่าจะมาทางไหนจะไปทางไหน  มีความรู้ทันนะ  แล้วเจ้าคิดดู  ดวงจิตของเจ้ามันมองไม่เห็นด้วยตา  พร้อมทั้งกิเลสที่ฝึกปรือกันมาเป็นหมื่นชาติ แสนชาติก็ดี  ชาติน้ถ้าไม่มีผู้แนะนำจะจับได้มั๊ย?  มันไม่สามารถจะจับได้เลยนะ    ถึงแม้จะมีผู้แนะนำ  ถึงแม้มีเค้าโครงที่จะรู้เงื่อนงำที่มาที่ไปในมายากลหรือวัตถุ  ยังน้อยคนที่จะจับตาตามได้  มันจับไม่ได้ 

แล้วดวงจิตของพวกเจ้าล่ะ.... อย่าคิดว่าจะสามารถจับจิตของตัวเองได้อย่างง่ายดาย  มันเป็นมายากลของจิตของเจ้าอีกทีหนึ่ง  รู้ไม่ทันมันหรอก   ถ้า ไม่มีผู้ที่มีบุญบารมีมาตรัสรู้  ชี้แนะ ชี้นำทางสัตว์ทั้งหลายที่ยังวนเวียน  เวียนตายเวียนเกิดจนน้ำตาที่หลั่งไหลด้วยความเศร้าโศกเสียใจ  เพราะเหตุใด ๆ ก็ตาม  มันท่วมเป็นทะเล  เป็นมหาสมุทร ก็ยังหาทางออกไม่ได้  เพราะมันหลงกลมายาจิตของพวกเจ้า  จิตของตัวเอง  เพราะฉะนั้น  เจ้าจงดูไว้ว่า  ถ้าเจ้ามีความประมาทแม้แต่นิดนึง  เจ้าก็ไม่มีทางที่จะรอดมายากลของจิตพวกเจ้าไปได้ 

(2)


...

เพราะ ฉะนั้น  วันนี้  ข้าพเจ้าจึงต้องลงมาที่นี่  มาดำเนินการ ณ สถานที่ที่เปิดกองบัญชาการ  คือสถานที่ที่พวกเจ้านั่งกันอยู่นี้ (จุดที่กล่าวถึง...เขากะลา นครสวรรค์)  ผู้ที่มาจากดวงดาราต่าง ๆ อยู่ต่อหน้าพวกเจ้านี้  พระญาณต่าง ๆ มารวมกันอยู่ที่นี้  ขอให้พวกเจ้าอย่าคิดว่าภัยพิบัติมันจะเกิดขึ้นในอนาคต  ให้คิดว่ามันเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้แล้ว  สังวรระวังกันได้ 

ใน ปัจจุบันนี้  มันกำลังเกิดขึ้นแล้วทุกขณะ  มันกำลังพล่าผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ของพวกเจ้าไป  ส่วนรวมโลก  ส่วนรวมประเทศ  และมันกำลังใกล้เข้ามาจนถึงตัวเจ้า  ในวาระจิตของหลาย ๆ คนที่มีความประมาท  ไม่ทุ่มเทจิตใจให้กับการลด  ลดความสุขสบาย  ลดความอยากของตนเอง  ตอนนี้  ต้องลดตอนนี้  ต้องลดความโกรธ  ลดความเกลียด  ลดทิฐิมานะของตัวเอง  ลดศักดิ์ศรี  มีสิ่งที่เป็นเป้าหมายในใจของพวกเจ้า  ซึ่งพวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจ  เรียนรู้กันมาก็มากมาย  แต่ปฏิบัติไปแค่ 20 % ของสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจ  แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงซึ่งแก่นแท้ของธรรม  นี่คือการลด

ต่อไปเป็นการละ  ถ้าลดไม่ถึง 100 %  โอกาสที่จะละมันก็ยาก  โอกาสที่จะเลิกแทบจะไม่มี  เพราะอะไร  เพราะมัวหลงกล  ในดวงจิตของพวกเจ้ามันเล่นมายากลหลอกเจ้าอยู่  มันน่าเวทนา 

ผู้ที่ศรัทธาในผู้ที่มาจากต่างดวงดารา  จากต่างจักรวาล  เปิดจิตเปิดใจศรัทธาพวกเขา  หรือศรัทธาในตัวข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนา  แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าพเจ้ามาที่นี่เพราะอะไร?  มาทำไม?  การมาที่นี่  มาเยือนโลกของเจ้านี้เพื่ออะไร  ไม่ใช่ชื่นชมส่งเดช  มันไม่มีความยินดีหรอกนะ  มนุษย์ต่างดาวเขาไม่ยินดี  อยากเห็นเขาแต่ไม่สนใจว่าเขาต้องการอะไร?  อยากขึ้นยาน  อยากรู้ในเทคโนโลยี  แต่ไม่สนใจว่าเขาสอนอะไร?  ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร? 

อาศัยความอยากของตัว  เมามัวอยู่ในความอยากนั้น  จากเคยปฏิบัติทำดีก็ลดลง  มีนะ  ปกติปฏิบัติธรรมธรรมดาไม่วอกแวก  พอมนุษย์ต่างดาวมา  ความอยากขึ้นยานฯ มืดมัว  หน้ามืดตามัว  ทำให้ใส่ใจในธรรมะลดลงก็มี  แล้วมันดีมั๊ย  มีสมควรมั๊ย  มันถูกเรื่องมั๊ย....

ในวันนี้  เป็นที่ได้บอกไปแล้วว่ามันจะมีความเครียดกันสักนิดนึงสำหรับผู้ที่ต้องการความบันเทิง  วันนี้จะไม่มี 

(3)
.... อาทิตย์นี้  น้ำตาลเคลือบยาหมดแล้ว  ธรรมะโอสถ...อาทิตย์หน้าจะเจอของจริง  ของจริงคืออะไร?  ของจริงคือ ลด ละ เลิก  อาทิตย์หน้าจะพาไปประชุมกันที่บ้านสาวก  ที่มีการเทศนาธรรมมาตั้งแต่พวกเขายังไม่เคยรับรู้เลยว่า  อนาคตต่อไปจะเป็นยังไง  มันน่าสรรเสริญดวงจิตของผู้ที่ฝ่าฟันกันมาในปีแรก  จะนำให้พวกเจ้าผู้ซึ่งมาทีหลัง  เสียดทานความอยากของพวกเจ้ากลับไปสู่จุดนั้น  แต่ไม่บังคับ  ไม่มีการบังคับดวงจิตใด ๆ มีแต่พวกเจ้าจะตามข้าพเจ้ามามั๊ย?  จะรู้ทันมายากลของจิตตัวเองมั๊ย?

ข้าพเจ้าจักทำทุกอย่าง  เพื่อที่จะเสียดทานพวกเจ้าให้เป็นเพชรแท้   ใครที่เป็นเพชรเทียมหลงเข้ามา เขาก็จะทนไม่ได้  เพราะมันไม่มีหวัง  เพราะจะเสียเวลาทำมาหากินของพวกเขา  เพราะเขาไม่ต้องการสัจจธรรมเท่าไร  แค่นี้เขาก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว  เขาคิดยังงั้น

พวกเจ้าที่มีดวงจิตอยากหาทางออกจากวงเวียน   วัฎฎสงสาร  อยากทราบสัจจธรรมของชีวิต  มีใจแน่วแน่จริงจังและตรงต่อพระรัตนตรัย  ซื่อสัตย์ต่อจิตของตัวเอง  ไม่เป็นนักมายากลจิตใจ  สัปดาห์ต่อไปนั้น  เจ้าจะต้องไปพุทธสถานนั้น (สันคู นครสวรรค์)  ในกาลเวลาประมาณเดียวกันนี้ที่พวกเจ้ามา  แต่ถ้ามามืดมันอาจจะหลง  เพราะพวกเจ้ามิเคยไปกันบ่อยนัก  บางท่านอาจจะเคยไป

แต่ ที่นั่น  เป็นที่ที่เคยมีการเทศนาธรรม  มีการต่อสู่ฝ่าฟันกับกิเลสในเบื้องต้น  แต่ต้องไปนะจุดนั้น  ถ้าไม่มีพวกเขาที่ต่อสู้ฝ่าฟันในช่วงต้นมา  ถ้าพวกเขายอมแพ้กิเลสของตัวเอง  จะไม่มีพวกเจ้าในวันนี้  จงจำไว้   จงกลับไประลึกถึง ณ สถานที่นั้น (สันคู)  ในวันครบรอบเปิดกองบัญชาการ

เพราะ ฉะนั้น  บนสถานที่นี้ (บนเขากะลา)  ไม่ว่าใครจะมา  ใครจะไป  ใครจะอยู่อย่างไร  เป็นสถานที่ส่วนกลางอยู่แล้ว  มิมีการห้าม  มิมีการที่จะบังคับใครได้  จงกลับไปสำรวจดวงจิตของตัวเอง  เพราะข้าพเจ้า  ต้องการผู้ที่อยากฝึกดวงจิตของตัวเองให้แกร่ง  เจ้าจักเป็นทหารในกองทัพธรรมของข้าพเจ้า  ที่จะนำดวงจิตฝ่าฟันกิเลสของตัวเอง  เพื่อที่จะไปนำดวงจิตของผู้อื่นที่ทุกข์ทรมาน  ฝ่าฟันในดวงจิต  ในวาระจิตของพวกเขา 

ถ้าเปรียบกับทางโลก  ทหารที่เข้ามาฝึกใหม่ ๆ นั้น    จะต้องมีการเรียนรู้  การฝึกร่างกาย  ทุกคนที่เข้ามาไม่มีความแกร่งของร่างกาย  ก็ต้องฝึกวิ่ง  ฝึกปีนกันไป  นั่นเป็นเรื่องของทางโลก

แต่ ทางจิตใจไม่เหมือนกัน พวกเจ้าเป็นทหารของกองทัพธรรม  ข้าพเจ้าจักนำพาพวกเจ้าฝึกให้แกร่ง  จิตต้องแกร่ง  จิตต้องเข้าถึง  เพราะฉะนั้น  จะปล่อยให้พวกเจ้ามาไปวัน ๆ ข้าพเจ้าเล็งแล้วมันไม่มีประโยชน์  การจะเป็นบุคคลสำคัญของโลก  มิใช่จะฝ่าฟันด้วยความพยายามแค่เล็กน้อย  ด้วยปัญญาแค่เล็กน้อย  แล้วมันจะผ่านพ้นไปได้  กลับไปคิดกัน  ไม่มีการบังคับในวาระจิตของพวกเจ้า  ข้าพเจ้าได้แต่ชี้แนะ  ชี้แนะแนวทางให้พวกเจ้าเดินตามข้าพเจ้ามา  ทั้งสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ปรากฏไปแล้วนั้น  ทำให้พวกเจ้าหลายคนมีความเชื่อที่เพียงพอแล้ว  แต่มันไม่พอกับความอยากของพวกเจ้าเท่านั้น 
 


ทำไม ไฟที่ขึ้นมา  ข้าพเจ้าไม่ทำให้มันเป็นสีม่วงล่ะ  พลูโตไม่มีหรือสีม่วงน่ะ  ทำเป็นสีม่วงให้ส่องเข้ามาแทนที่จะเป็นสีส้ม  ทำไมไม่ทำ  ทำไมมันกึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนไฟรถ  ให้ถกเถียงกัน  ทุกอย่างทุกขั้นตอนมีความหมาย มีเหตุผล  แต่เป็นไปด้วยความกรุณาต่อพวกเจ้า  สอนให้เจ้ามีปัญญา  มิใช่สอนให้เจ้าอ่อนปัญญา
 


เพราะฉะนั้น  ทหารกล้า  ทหารกล้าของข้าพเจ้า  จงตามข้าพเจ้ามาในสัปดาห์หน้า  ทิ้งความอยากของตัวเองซะ  ยิ่งอยาก มันยิ่งให้ไม่ได้  บารมีลด  ยิ่งไม่อยาก  ยิ่งอยากจะให้  มันเป็นอย่างนั้น...

ไม่ว่าจะเป็น บุคคลที่สำคัญของเมืองของเจ้า หรือใคร ๆ ก็ตาม  มันไม่สำคัญ....ถ้าวาระจิตไม่ถึง เจ้าเรียนพุทธศาสนา  ศึกษาประวัติของพระพุทธองค์  ท่านเสียดทานแค่ไหน  เสียดทานด้วยไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไรด้วยซ้ำไป  แต่ดวงจิตมีความกรุณาเหลือเกินจะช่วยสรรพสัตว์  บารมีท่านมากจึงได้มีการเสียดทานขนาดนั้นได้  โดยพวกเจ้าถ้าให้ไปค้นด้วยตัวเอง  ก็ไม่อยากจะพูดหรอกว่าจะเป็นยังไง?


(4)



...
ใครจะถามนะ   คุยกันก่อนนะ  คำถามที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวมนะ  เป็นประโยชน์ส่วนรวมทุกคนฟังแล้วได้ประโยชน์

(มี ผู้ตั้งคำถาม)  ที่นั่งสมาธิอยู่  มีความรู้สึกว่าตัวเองใหญ่ขึ้น  พองขึ้น  แล้วก็นั่งไปสักพัก  พุทโธ  พุทโธ ตลอด  มีความรู้สึกว่าตัวเองหมุนตลอดนะคะ  ไม่ทราบว่าเป็นยังไง
 


(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  คำถามนี้ได้ยินกันทุกคนนะ  จะขอพูดตอนนี้  ใครที่นั่งสมาธิแล้วมีอาการวูบวาบ ตัวใหญ่ตัวเล็ก  ตัวลอย  ตัวพอง  ตัวสั่น  โคลงเคลง  เหงื่อออก   หรือจะยังไงก็ตาม  คนที่ถามนะ  ตัวพอง  ให้เจ้ารู้นะ  อาการมีหลายอย่างนะ  แต่มันก็จัดอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน  คืออาการที่ออกมาจากจิต  นี่คือหนึ่งในการที่จิตของเจ้าเล่นมายากลกับตัวเจ้านะ นี่คือหนึ่ง  มันอาจจะมีหมื่น  หรือมีแสนนะ  แล้วแต่วาระจิตของพวกเจ้า  เพราะว่าบางคนใกล้จะบรรลุแล้วมันจะเหลือน้อย  บางคนที่ยังหยาบอยู่อาจจะยังมีมายาจิตที่เหลือมาก

นี่คือมายากล ของดวงจิตนะ  เพราะจิตจะมีใครบังคับเขานั้นมันเป็นมายา มันจะออกมาเป็นอาการต่าง ๆ มันเป็นกลไกที่สลับซับซ้อน    แต่พูดรวมง่าย ๆ มันเป็นหนึ่งในมายากลในดวงจิตของเจ้า  แต่ละคนจะเป็นของตัวเอง  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ธรรมะรวบรัดขั้นตอนก็คือ  บทสรุปของธรรมะ  ไม่ให้มีการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทั้งนั้น 

จะขอทำความเข้าใจ ก่อนว่า...การปฏิบัติธรรม ฟังข้านะ ข้าพเจ้าจะอธิบายต่อ  การที่บทสรุปของธรรมที่สูงสุดก็คือ  สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ธรรมะทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น  คำนี้เป็นคำที่เป็นสัจจะธรรมขั้นสูง  แต่การปฏิบัติในการที่จะลุล่วงถึงสัจจธรรมขั้นสูงนั้น  ถ้าเจ้าอ้างมายาจิตของพวกเจ้าเอง  เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมะ  จริง ๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์  พอถึงจุดหลุดพ้นแม้แต่ธรรมะท่านก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น  แต่ผู้ที่วาระจิตไม่ถึงนั้นแล้ว จะข้ามขั้นตอน จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมะนั้น  นั่นถือว่าหลงกลในมายาจิตของตนเอง 

เพราะ ฉะนั้น  การที่เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ นั้น  ต้องเริ่มจากกิเลสขั้นหยาบก่อน  ขั้นที่เรียกว่า บาป  ในความโกรธ  ความเกลียดก็ดี  ในสิ่งที่บุรุษทั้งหลาย  บุคคลทั้งหลายบอกว่าสิ่งนี้ไม่ดี  ก็ดี  จงละ  ลด ละ เลิก และไม่ยึดถือ  ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นก่อนต่อไป  ก่อนที่จะละในสิ่งชั่ว  เราก็ต้องยึดความดีถูกมั๊ย  ในแง่ของปุถุชนธรรมดาทั่วไป  ก่อนจะละสิ่งอื่นมันก็ต้องมีที่ยึดเหนี่ยว  ปุถุชนธรรมดาจะไปยึดถือความว่างบริสุทธิ์  จิตมันยังทำไม่ได้  ต้องยึดถือความดี  ต้องละความชั่วก่อนยึดความดีเอาไว้  ต่อไปเมื่อละความชั่วแล้ว   จะเป็นการปฏิบัติให้รู้ถึงขั้นตอนถ่องแท้ของความดี  ความดีมันมีกลไกอย่างไรบ้าง  มีกลไกยังไง  รู้เท่าทัน "ความดี" หรือสิ่งที่เรียกว่า "บุญ"    จึงปฏิบัติขั้นสูง ละบุญในขั้นต้น 
 


สำหรับ โสดาปฏิผลนั้น  ไม่ถึงขนาดละบุญกันหมด  แต่ให้รู้ว่า บุญ คืออะไร?  บาป คืออะไร? สิ่งที่ควรยึดถือคืออะไร  ยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้น  ถึงขนาดขั้นไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่ธรรมะ  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องวางก็คือ อกุศลธรรมและอกุศลกรรม   อกุศลธรรม ควรจะวาง  และอกุศลกรรม  คือการกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศล  ควรจะละ  ลด  ละ  เลิก  วางในสิ่งนั้น

ต่อ ไปตอนนี้  สิ่งที่ควรกระทำคือ  กุศลธรรม และ กุศลกรรม  ทำเอาไว้จนถึงจุดหนึ่งจะสอนให้ลด ละ เลิก  วาง  เขาเรียกว่า ...วางบุญ...ลงซะ   

แต่มันยังไม่ถึงขั้นนั้น  ขั้นนี้ให้...วางบาป...ลงก่อนนะ  สาหัสแล้วนะ  นะ  วางสิ่งที่ในสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไปเขาก็จะรู้ว่าผิดชอบชั่วดี  ผิดถูกนะจะรู้กันอยู่  แต่พวกเจ้าจะต้องรู้ให้ละเอียดขึ้นอีก และก็จะต้องทำได้จริงนะ  เอ้า..คนที่ถามมาน่ะพอจะเข้าใจมั๊ยว่า  สิ่งที่เจ้าถามนั้น นั่นคือหนึ่งในมายากลดวงจิต  ดวงจิตมันเล่นมายากลหลายอย่าง  มันไม่มีความหมายอะไรนะ อืม..เข้าใจมั๊ยล่ะ

(5)

.....
(มีผู้ตั้งคำถาม)..ถ้านั่งนิ่ง ๆ ไปแล้วไม่เห็นอะไรเลย ทำจิตให้ว่าง ก็จะไม่เห็นอะไรเลยใช่มั๊ยครับ...

 (ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เออ...จงไปฟังธรรมะที่ข้าพเจ้าเคยตรัสไว้นะ   ตรงที่มีบุคคลถามถึงแก่นแท้ของการปฏิบัตินะ  ที่ตรัสไว้ในศาลาข้างล่าง  เพราะฉะนั้น  ท่านมาทีหลังท่านไปฟังเรื่องแก่น  เรื่องกระพี้การปฏิบัติ  เอาไปฟังจักรู้เป้าหมายในดำการปฏิบัติ  ถ้าเจ้ากระทำแล้ว กระทำจิต  เรียกว่ากระทำจิตตามนะ  ตามที่ได้แนะนำไว้มันจะเป็นทางลัด 

เออ... ใครมีอะไรที่เป็นวงกลมมั๊ยล่ะ  วงกลม ๆ น่ะ  เอานี่จะยกตัวอย่าง  ของที่กลม ๆ (ฝาตุ่มน้ำมาให้)  อ้อ...นี่ฝาชี  ฝาตุ่ม  เห็นกันมั๊ย  ถ้าคว่ำอย่างนี้ก็คือเวียนนะ  วนเวียนกันอยู่ไม่รู้จะออกยังไง  มันหาทางออกไม่ถูก  ทางวนไปวนมาไม่ค้นพบจุด จุดนี้อาจจะเป็นวงเวียนนี้  คือวนเหมือนกัน ยังวนไม่ถูกที่วนไม่ถูกทาง  ก็วนกันไปก่อนยังไม่ถูกทางน่ะนะ จนถึงผู้ได้รับการชี้แนะอย่างถูกต้องนะ  ที่มีจิต...ปณิธานนะ(ปณิธาน หมายถึง ความตั้งใจจริงที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จนไม่เห็นสิ่งอื่นมีค่าควรแก่การสนใจอีก)

จิตอธิฐานนั้น  สำหรับการปฏิบัตินะ  โค้งตรงนี้ เทียบธรรมดาเหมือนโค้งของโลกพวกเจ้า  เรียกอะไรก็ได้นะ  การที่จะสวนทางขึ้น การที่จะเดินขึ้นเนี่ยนะ 


คลื่นเริ่มอ่อน....การส่งคลื่นมานี่  มันเป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสูง  ซึ่งอธิบายลำบาก  บางคนคิดว่าเป็นไสยศาสตร์  แต่มันไม่ใช่  ซึ่งมีการคล้าย ๆ แบตเตอรี่นั่นแหละ  ถ่ายไฟอ่อนได้  ก่อนที่จะจบนะ  อันนี้เป็นสุดท้ายแล้วกัน
 


เห็นมั๊ยโค้งตรงนี้  พวกเจ้ายืนอยู่นะจุดตรงนี้ เรียกว่า 50 - 50 สำหรับโค้งนี้นะ  ประมาณตรงนี้นะ  เออ ฝาอะไรเนี่ยนะ  ตอนนี้ 60 บุคคลนะ  พูดถึง 60 บุคคลขึ้นอยู่โค้งประมาณนี้  ดูมันกึ่ง ๆ ไม่ถึงขนาด 50 - 50 ขึ้นมาถึงกึ่ง ๆ 60 บุคคลนะ 

เพราะฉะนั้น  การปฏิบัติเป็นธรรมดาของพุทธศาสนา  ซึ่งมีการแต่งแต้มประเพณีต่าง ๆ  คำนิยมต่าง ๆ  เติมตามยุคสมัยต่าง ๆ มาเป็นเวลา 2500 ปี  นึกเท่าไรพวกเจ้าก็คงนึกไม่ออกเท่าของจริงว่า  แก่นแท้นั้นมันถูกทับถม  แก่นแท้ตั้งอยู่ที่เดียวคือแก่น  แต่มันถูกทับถมด้วยเปลือก  ด้วยกะพี้  ด้วยใบไม้  ต้นไม้ต่าง ๆ ทับถมกันมา 2500 ปี  ทีละเล็ก ทีละน้อย  ความบริสุทธิ์ของแก่นนั้นมันถูกทำให้หมองมัวลงไป  จึงเป็นการยากที่ผู้ที่เกิดมาในกึ่งพุทธกาลนี้  จะเชื่อจริง ๆ ว่า  นี่คือแก่น....  เพราะอะไร  เพราะติดที่ความหรูหรา  เพราะติดที่การสั่งสอนกันมา  บางท่านก็ยึดติดในแบบของการทำสมาธิ  แบบนี้มีคนทำเยอะ  แบบนี้เขาบอกทำง่ายไปฝึกวัน 2 วัน ก็สามารถบรรลุตามได้ง่าย  หรือแม้กระทั่งมีการเผยแผ่ของพลังต่าง ๆ 

ยัง ไงก็ตาม  บางคนเหมารวมเอาเป็นพุทธศาสนา  ยังมีหลายคนมองพระพุทธศาสนาได้ไม่ถึงหลักของความจริงที่เขามีอยู่  สัจจะธรรมมีอยู่ มองได้แค่ ม ม้าตัวหลัง  มันก็ ม ม  ม.อะไร  ม.มัวหมอง  มอมแมมอะไรก็แล้วแต่ มองได้แต่ ม. มันไม่ถึงตัว ส. ข้างหน้า  เพราะฉะนั้น มันจะไม่พบสัจจะธรรม  อืม ญาณอ่อนนะ  เดี๋ยวให้บทเรียนสุดท้ายเสร็จก่อนนะ  พูดถึงแก่นแท้ของธรรมจากสาขาต่าง ๆ ข้าพเจ้าถึงบอกว่า  คิดดูแล้วให้วางกันไว้  วางไว้ก่อน เพราะแต่ละคนจะยึดติด  ธรรมะของใครคนนึง  แต่คนยึดติด ปฏิบัติยึดติดสำนัก  ยึดติดการบรรลุ  ยึดติดอิรุงตุงนัง  แต่ทุกอย่างถ้ายังไม่ถึงขั้น  มันยังอยู่ในมายากลของดวงจิตอยู่ทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น  ควรที่จะเข้าใจหลักกลไกของธรรมะนั้น...

(6)
บุคคล ที่จะพัฒนาดวงจิตของตนเอง  สามารถทำได้ในชาติที่เป็นมนุษย์นี้  แต่ถ้ายังหลงเชื่อมายากลของดวงจิต  ไม่มีการขัดขืน ไม่มีการฝืน  หลงติดในภาพลวงของมายา  ยศถาบรรดาศักดิ์ภายนอก  โอกาสที่เจ้าจะวนอย่างนี้  วนเป็นลูกข่างนะ  วนเป็นลูกข่างต่อไป  โอกาสต่อไปไม่มีคนนำนะ  ถ้ายังอยู่ใน 60 นะ จะมีคนนำในศาสนาหน้า  แต่การจะเป็นผู้นำมันยาก  มันยากในการที่จะฝืนดวงจิต ไม่ใช่เอาเจ้าไปทรมาน เอาตะปูทิ่มเมื่อไหร่  แต่เอาดวงจิตไปเสียดทาน  ไปเสียดแทงกับความอยากที่เจ้าเคยผ่านมา  นั่นเป็นวิธีการอันแท้  อันเก่าแก่ของพระพุทธองค์  นึกดู  เจ้าจะมาเห็นพระพุทธรูปใหญ่โตในสถานที่  เป็นคนที่เขาบูชา  แต่ดูประวัติท่านซิ...ท่านอยู่ในป่า  ท่านเสียดทาน   ขนาดฝึกกับผู้ที่เป็นอาจารย์ให้ท่านแรก ๆ จนถึงขั้นสมาบัติ  ท่านยังรู้ว่ามันไม่ใช่  ท่านยังกลับมาหาวิธีการของท่าน  ด้วยการกลับเข้าสู่ป่า ลด ละ เลิก  แต่ท่านมีภูมิปัญญาเลิก  จึงสามารถหลุดรอดบรรลุขึ้นมาได้  เพราะฉะนั้น  พวกเจ้าถ้าตามข้าพเจ้ามา  ในวาระจิตของพวกเจ้า  โดยพยายามลดมายา  ลดภูมิรู้ของตัวเองในการยึดติดต่าง ๆ  เป็นเครื่องประดับความรู้ได้  แต่อย่าเอามายึดในการที่จะมาเป็นข้อโต้แย้งอะไรต่าง ๆ นั้น ต่อรองอะไรต่าง ๆ นั้น  มันทำให้กลุ่มเขาเสียเวลา

เพราะฉะนั้น ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน  อาจจะใช้ได้ในกรณีหนึ่ง  นี่ไม่ได้หมายถึงผู้รู้ทั่ว ๆ ไปนะ  แต่หมายถึงการที่จะออกจากมายาของจิต  ถ้าผู้ที่มีภูมิรู้มากอย่างที่บอกนะ  แนะนิดนึงเขาปรับจิตได้เขาจะไปเร็ว  แล้วเขาจะเป็นผู้นำ

แต่ผู้ที่รู้มากแบบไม่ถูกน่ะนะ  เรียกว่ามิจฉาทิฐิมันมาก  ได้รู้แบบมิจฉาทิฐิ ยึดอยู่นั่นแหละ  ยึด  ยิ่งรู้มากมีหลายเส้นให้ยึด  ยึดอยู่  ปล่อยเส้นนี้  ก็ยึดเส้นนู้น  เพราะมันมี  ศึกษามา 12 สาขา  ยึดไว้  ปล่อยไปสาขาหนึ่ง  เหลืออีก 11  ยังเสียดายอยู่  ไอ้พวกที่มี 1 สาขา  พอมันปล่อยแล้วมันก็ปล่อยเลย  ถูกมั๊ย.. มันรู้น้อย  อย่าให้เป็นแบบนั้น ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน  มันไม่ดี  เพราะมาเจอของจริงแล้ว  ยิ่งรู้มากให้ใช้ประโยชน์จากสาระ  หรือเกล็ดธรรมะ  ของสิ่งที่รู้ในข้อดีข้อเสียมาสั่งสอนบุคคลซึ่งเขาไม่รู้  เป็นเกล็ดอะไรต่าง ๆ หรือประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ที่เนิ่นช้ามานานเลยก็ได้  พวกเรียนต่าง ๆ น่ะ  เอาสิ่งที่เป็นธรรมะสอนเข้าไป  เออ...พอละนะ...

(7 จบ)

......




ข้อความส่วนหนึ่งที่ถอดจากเทปบันทึกเสียง
ของการให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 30 มกราคม  2542
ณ เขากะลา  นครสวรรค์
...

………….
ข้อความหลากหลาย  ที่ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโตได้ถ่ายทอดไว้ ณ เขากะลาให้กับสมาชิกกลุ่มเขากะลาในรุ่นแรก ๆ ได้รับฟัง  ทุกอย่างล้วนกล่าวถึงกฏธรรมชาติ  เป็นการสอนให้เข้าใจขันธ์ห้า  เพื่อการปล่อยวาง  ละการยึดมั่นถือมั่น  ละอัตตาตัวตนทั้งสิ้น

ซึ่งเป็นการสวนทางกันโดยสิ้นเชิง  กับความเข้าใจของคนทั่วไป  ที่คิดว่าบุคคลกลุ่มนี้ได้ไปหลงใหลในมนุษย์ต่างดาว  ไปหลงไหลในเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว  ไปศึกษาเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้  ไกลตัว  จนออกไปนอกโลก  นอกจักรวาล 

จึงดูราวกับว่าบุคคลกลุ่มนี้ได้เพี้ยนไปไกลจากแก่นของธรรม

แต่ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร?  ใครจะเข้าใจอย่างไร?   ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปเปลี่ยนแปลงโครงการของมนุษย์ต่างดาวที่มาเพื่อช่วย เหลือโลกใบนี้ได้   เพราะนี่เป็นโครงการใหญ่...ที่ต้องมาให้ความช่วยเหลือกันตามกฏธรรมชาติ

แต่ก็ยังมีบุคคลในส่วนหนึ่ง  ซึ่งมีทั้งเขากะลารุ่นที่ 1 - 4   ที่เข้ามาด้วยความเข้าใจ  และผสมผสานกันเข้าเป็น.....กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ในขณะนี้  และยังคงดำเนินกิจกรรมเพื่อการประสานงานอย่างต่อเนื่อง

เพราะได้มีการไตร่ตรอง  และเห็นจริงจากการปฏิบัติ  ลด ละ ปล่อยวาง เบาบางจากทุกข์  จากการยึดมั่นถือมั่น  จนสามารถเข้าใจกลไกของขันธ์ห้า  ละอัตตาตัวตนได้ในระดับหนึ่ง และได้เข้าทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว  ในนามของ...กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) แล้วนั้น  ต้องขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่ง

สำหรับท่านที่ได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมา อย่างต่อเนื่องนั้น....ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน  พบเจอเรื่องราวเมื่อใด   จะเคยพบเจอมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ ?   ไม่สำคัญ 

อยู่ที่ว่า...ถ้าท่านศึกษา  ทำความเข้าใจ  และปล่อยวางได้  ความทุกข์ที่เคยมีมากมายได้ลดน้อยลง

นั่นถือว่า....ท่านได้..."ประโยชน์ตน"...ของท่านไปแล้ว ณ ขณะนี้   

ส่วนประโยชน์ท่าน....ที่จะทำงานร่วมกับระบบได้มากน้อยแค่ไหนนั้น   สถานการณ์จะจัดสรรให้ท่านเอง

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนากับทุก ๆ ท่าน  ที่ได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร  และให้กำลังใจทีมงานอย่างต่อเนื่องตลอดมาค่ะ

โอวาท..จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

ขอขอบคุณ  หลาย ๆ ท่านที่ได้ให้ความสนใจ และติดตามอ่าน 
"ข้อความจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต"  ที่ได้มีการให้โอวาทแก่ผู้ฝึกจิต  ให้ความกระจ่างในเรื่องของกฏธรรมชาติ  เตือนสติ  และชี้แนะแนวทางการปฏิบัติเพื่อการละวางอัตตาตัวตนให้กับมนุษย์โลก  ผู้ร่วมทำงานในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติบนโลกมนุษย์ในครั้งนี้

การ ได้รับรู้  การได้รับฟัง  การได้รับทราบแนวทางของการปฏิบัติ   ผ่านข้อความ  ที่ผู้ทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว  ซึ่งมีความเจริญทั้งทางจิต  และเทคโนโลยีควบคู่กันไปนั้น   แทนที่จะสอนใจเราสนใจในอวกาศ  ในโลกลึกลับ  ในเรื่องของเทคโนโลยีจากต่างดาว

แต่ตรงกันข้าม  กลับสอนแต่ให้ดูขันธ์ห้า  ให้ละอัตตาตัวตน  ให้รู้เท่าทันทุกข์ และชี้แนะแนวทางเพื่อออกจากทุกข์ 

นั่น แสดงว่า  เรื่องนี้สำคัญที่สุด  สำคัญกว่าการที่จะไปค้นหา  ไปศึกษา ไปเรียนรู้นอกโลก นอกจักรวาล  ซึ่งจะเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ   เพราะเวลาของทุกสรรพชีวิตที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้  ก็มีน้อยอยู่แล้ว

ดังนั้น  ได้เคยกล่าวไว้อย่างต่อเนื่องมาตลอดว่า 
นี่เป็นการ "แจ้งเพื่อทราบ"  เท่านั้น 

ไม่ว่าจะเป็น "การแจ้งเพื่อทราบ"  ในเว็บไซด์  www.ufokaokala.com แห่งนี้  หรือในเว็บไซด์อื่น ๆ  รวมถึงการจัดกิจกรรม  การบรรยายเรื่องราวของกลุ่มประสานงานฯ ณ สถานที่ต่าง ๆ ที่ผ่านมาก็ตามนั้น  ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า ....

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)   เป็นกลุ่มที่ได้รับการติดต่อสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวมาอย่างต่อเนื่องยาว นาน  และมีการรวมกลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อในเรื่องเดียวกัน   พบเจอปรากฏการณ์คล้ายกัน  และมีความเข้าใจในการที่จะทำงานร่วมกัน  เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันกับที่มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้  คือให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลกในยามที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกใบนี้

นี่คือความเชื่อของกลุ่มบุคคลกลุ่มนี้  ที่ชื่อ  กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

และความเชื่อนี้  ก็เป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่ม  ไม่ได้มุ่งหมายที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อของบุคคลอื่น ๆ เลย

ดังนั้น  เส้นทางที่จะเดินไปยังจุดหมายปลายทาง  ที่แต่ละคนได้เลือก ได้ไตร่ตรอง ได้พิจารณานั้น  มีหลายเส้นทาง 

ทุก คน  ต้องใช้ปัญญาพิจารณาเส้นทางที่จะต้องเดินไปของตนเอง  ทางใดที่เห็นว่าดี  เห็นว่าถูก เห็นว่าเหมาะสมสำหรับตนเองแล้ว  ก็ควรเร่งที่จะมุ่งหน้าเดินไป  ตามลู่ทางที่ตนเองได้เลือกไว้ด้วยความตั้งใจเถิด


เพราะนี่คือประโยชน์ตนของแต่ละท่าน  ในยามที่เวลายังมีอยู่

ในความไม่เชื่อ  ในความไม่ศรัทธา  ในสิ่งที่เห็นว่าไม่น่าเชื่อถือในเรื่องใด ๆ  ก็ตามนั้น 

ขอ ท่านอย่าได้เสียเวลา  โดยปล่อยให้เวลาที่มีค่าของท่านผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลย   ควรใช้เวลาที่มีค่าของท่านทำในสิ่งที่มีประโยชน์กับดวงจิตของท่านจะเหมาะสม กว่า  อย่าเสียเวลากับความลังเลสงสัย   ที่ยังหาคำตอบไม่ได้อีกเลย

ส่วน ท่านที่หมดความลังเลสงสัย  ลองปฏิบัติตามแนวทางละวางอัตตาแล้ว  ความทุกข์ได้ลดน้อยลงไป  ก็ควรใช้เวลาอันมีค่าแต่ละวินาทีที่มีอยู่  เร่งเดินหน้าปฏิบัติต่อเนื่องไป  เพื่อพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง   ปล่อยวาง  ละการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้าให้มากขึ้นให้ได้โดยเร็ววัน  เพราะท่านคือบุคคลที่สำคัญในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในโครงการนี้

ขอ นำข้อมูลการให้โอวาท  จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  เมื่อปี 2542  ที่เขากะลา  มาให้ท่านที่สนใจได้รับทราบเพิ่มเติม  อาจทำให้หลายท่านเกิดความกระจ่าง  เห็นภาพมุมกว้างของโครงการนี้  ที่ทำไม  ผู้ทรงภูมิปัญญาจากดวงดาวอื่น ๆ   จึงได้ให้ความสำคัญกับผู้ร่วมทำงานแต่ละท่านอย่างเหลือเกิน

....คำตอบ....จากคำถามเหล่านั้น  อาจจะทำให้หลายท่านเกิดความกระจ่าง มากขึ้น 
 



..................................................................................


ข้อความส่วนหนึ่งของการให้โอวาท
จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
ณ เขากะลา  นครสวรรค์
วันที่ 6 มีนาคม 2542



....

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  -  ข้าพเจ้า หรือที่พวกเจ้าเรียกว่า ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  ในการที่ข้าพเจ้านำพระญาณ และนำเทคโนโลยีรวมทั้งผู้เจริญจากดวงดาราต่าง ๆ และจากต่างจักรวาลนั้น  ในส่วนนี้ในการไตร่ตรองในส่วนรวมแล้ว  มีการระบุในทุก ๆ อย่างไว้อย่างชัดเจนนะ  แต่ในตรงนี้จะขอทำความกระจ่างในกฎกติกา หรือกฎของธรรมชาติ  ทบทวนในจุดมุ่งหมายของการมาของข้าพเจ้าในส่วนแรก  และในตอนท้ายนั้น  จะพูดถึงสถานที่ที่พวกเจ้าจะบำเพ็ญบารมี  หรือจะอยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป  ในส่วนตรงนี้พวกเจ้าที่นั่งอยู่ ณ สถานที่นี้  ยังมีใครมีความลังเลสงสัยในเรื่องของภัยพิบัติอีกไหม?

(ไม่มีครับผม)

(คุณจีราวรรณ) ในเทปของ ดร.เทพนม  นั้น  บอกว่ามนุษย์ต่างดาวไม่ได้ลงมาช่วยมนุษย์  แต่จะให้มนุษย์ช่วยมนุษย์เอง 
แต่ท่านบอกว่าจะช่วยมนุษย์...อันไหน..ที่ถูก?


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เออ...แล้วเขามาอยู่ในกลุ่มนี้ไหม ?  มนุษย์ต่างดาวเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน...

(คุณจีราวรรณ) คือว่า  มีฝ่ายดำ  กับฝ่ายขาวใช่ไหม?   

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ไม่ใช่ ... มีฝ่ายที่สามารถช่วยเจ้าได้จริง  กับสามารถช่วยได้แค่เตือน  จงฟังไว้...เหมือนจิตของมนุษย์  มีผู้ที่มีความสามารถ  กับผู้ที่มีความสามารถในการพูดในการบอก  กับผู้ที่มีความสามารถได้ทั้งพูด ได้ทั้งบอก  และได้ทั้งกระทำให้การช่วยเหลือ...

เพราะฉะนั้น  ตรงนี้เจ้าต้องมีการไตร่ตรอง  มีการแยกแยะ  และมีการใช้ปัญญา และใช้ศรัทธาของพวกเจ้า  เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีการเรียนรู้จากที่ไหนมาก่อน

เพราะ ฉะนั้น  ตรงนี้ไม่มีครูมาก่อน  แต่สิ่งที่ได้ประสบพบเจอต้องใช้ปัญญาและวิจารณญาณของตัวเอง  และมีจิตเก่าจึงจะมีศรัทธาในการที่จักไตร่ตรองและกระทำในส่วนที่เห็นว่า  เราสมควรทำ

เพราะฉะนั้น  ในส่วนตรงนี้นะ...เออ  มีการถามขึ้นมาแล้ว  ก็เป็นการดีที่ข้าพเจ้าจะบอกว่า  มนุษย์ต่างดาว  ดวงดาวในจักรวาลนี้  หรืออนันตจักรวาลนั้นมันนับไม่ถ้วน  มันมากมายเหลือเกิน  จึงไม่รู้ว่าจะพูดถึงหรือแยกแยะยังไงได้หมด  ตรงส่วนที่เขาได้เคยมาสร้าง   หรือได้เคยมามีประวัติอะไรในโลกของเจ้านั้น  เป็นอดีตที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงว่าเขาเป็นใครกันบ้าง  เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรในการพูดถึงสิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เจ้าเห็นว่ามีส่วนที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม  เพราะมันผ่านไปแล้ว  และเป็นสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายไม่ได้ประสบด้วยตัวเองกันทั้งนั้น  จึงไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง

แต่ในปัจจุบันนี้  ในขณะนี้  และ ณ วินาทีนี้  เราอยู่ที่ไหน  เรากำลังประสบกับอะไร?  มีองค์ประกอบอย่างไรบ้างในการที่จะชักนำให้เรามา ณ สถานที่นี้  และจะเป็นผู้นำของเราในการที่จะปฏิบัติในวาระจิตจากปัจจุบันนี้และในอนาคต 

เพราะฉะนั้น  การที่เราทำจิตอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดนั้น  เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด  เพราะปัจจุบันนี้  คือสิ่งที่เราทำได้เดี๋ยวนี้  ณ วินาทีนี้  เพราะในความจริงแล้ว  วันพรุ่งนี้มันเป็นสิ่งสมมุติ  มันไม่เคยมาถึงเราเลยวันพรุ่งนี้เนี่ย  เมื่อเราตื่นนอนขึ้นมามันก็เป็นวันนี้เสียแล้ว  มันมีที่ไหนวันพรุ่งนี้...

เพราะ ฉะนั้น  การที่เราคิดจะทำจิตของเราให้ผ่านเข้าไปถึงจุดมุ่งหมายอันสูงสุดของเรานั้น  ต้องทำตอนนี้  วินาทีนี้  ในเวลาที่เราหายใจเข้า หายใจออกอยู่นี้  มันจึงจะถูกต้อง  อย่าไปหวังว่าพรุ่งนี้บารมีเราจึงจะเต็ม  ทุกวินาทีมีค่าอย่างยิ่งในการที่จะปฏิบัติสติของเรา..


(1)

…..





สำหรับ หลักการ  จะต้องเข้าใจตรงกันนะตรงนี้  นโยบายเป็นสิ่งสำคัญ  จะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอยู่ที่วาระจิตของเจ้า  แต่ถ้ารับทราบนโยบายผิดเพี้ยนมันจะสามารถเดินทางตรงได้ไหม?  มันก็เดินไม่ได้  เหมือนคนที่ปฏิบัติพระพุทธศาสนา

....เอ้า  มีอะไรกลม ๆ ไหม?  ... ถ้าไม่มีจะทำมือนะ  เอาฝาหม้อ  เอามา  ฝาหม้ออีกแล้ว  ดี ดี...





ตรง นี้นะ  จุดกลางตรงนี้นะ  เรียกว่า องศา  ของพวกเจ้า  วงกลมนี้มันก็เรียกว่ามี 360 องศานะ   ในส่วนตรงกลางนี้นะเปรียบเสมือนผู้ที่มาเจอพระพุทธศาสนา  อยู่ตรงกลางเลย  มีทางแยก 360 ทาง

การปฏิบัติของเราขั้นต้นนะ  รักษาศีล  หรือธรรมะขั้นพื้นฐานมันจะแยกไม่ออก  มันจะเหมือน ๆ กันเพราะมันเป็นขั้นพื้นฐานนะ  เหมือนเด็กที่เรียน ก.ไก่ ข.ไข่ อนุบาลน่ะ  เรียนมาพร้อม ๆ กันขั้นต้น  เราจะไม่รู้ได้ว่าไอ้คนนี้โตขึ้นมันจะเป็นดอกเตอร์ ไอ้คนนี้โตขึ้นมันจะเรียนได้แค่ ป.6 เพราะปัญญามันไม่ไปแล้ว ตรงนี้แยกไม่ออกเหมือนกัน

ก็เหมือนกับตรงนี้  ทำยังไงล่ะจะแยกออก  ไม่รู้ว่ามันจะถึงขั้นลึกนะ มันแยกไม่ออก  สมมุตินะตรงนี้

ทาง สายที่ถูกต้อง  ถึงแม้ว่าการปฏิบัติหลายอย่าง  แต่การที่จะนำจิตให้ถูกต้อง  จะต้องมีทางเดียวถูกไหม?  คือการลด ละ เลิก  และการละกิเลส  ไม่ว่าท่านจะมีส่วนของสิ่งประกอบหรืออิทธิวิธีต่าง ๆ  แต่ทำไมไม่รู้จักวาง  ทำไมจะไม่ได้  มีอยู่ทางหนึ่ง

สมมุติ นะ  นิ้วชี้นี้นะ  ต่อเมื่อมีผู้ปฏิบัติในขั้นลึกในการทำจิตให้แยบคายในขั้นลึกนะ  ถ้าเบี่ยงไปแม้สัก 1 องศา  เจ้าคิดดู  ในขั้นต้นนะ  ทางตรงไปยังงี้  เบี่ยงไปแค่องศาเดียว เมื่อเดินตามนั้นลึก ๆ ๆ ไปนะ  ทางตรงทางนี้นะ  ยิ่งไกลออกนอกลู่นอกทาง  แล้วไปตามนี้เพราะอะไร  เพราะอาจารย์อยู่  อาจารย์บอกมานี่  เพราะอาจารย์ไปถึงขอบนี้แล้ว  เพราะเขาก็ยังไม่รู้เหมือนกัน  เขาคิดว่าตรงนี้น่ะดี  ตรงนี้นะ  วาระจิตของเขานะ  ทุกคนอยากปฏิบัติดี  ปฏิบัติถูก  ปฏิบัติตรงกันทั้งนั้น  แต่ก็บอกแล้วว่ามันยุคเสื่อมนะ  มันหายาก  พวกเจ้าก็อยากแสวงหาธรรมะที่มันถูกต้อง  รู้ไหม  มันหายากเพราะอะไร  เพราะมันยุคเสื่อมหนึ่ง  เพราะโลกาภิวัฒน์  มันภิวัฒน์มากเท่าไรมันก็ยิ่งห่างไกล  ไอ้โลกาภิวัตน์นั้นมันอยู่ตรงข้ามนี่    มันคนละเรื่องกับธรรมะ   อันไหนที่มันได้เปรียบมันถือว่าดี   เดี๋ยวนี้  คนเดี๋ยวนี้  ถ้าใครไม่รู้ทันใคร  หรือเสียเปรียบใครนะ  ไม่อยากจะคบเป็นเพื่อนเลย  มาคบกับเราทำให้เราเสียเปรียบไปด้วย  จริงไหม? ในวาระจิต  ยิ่งอยู่กรุงเทพฯ  โอโห...ไม่ต้องบอก  การที่จะให้อะไรลงไป  ต้องคิดว่าเราจะได้อะไรกลับมา  ไม่ว่าจะคิดเป็นรูปธรรม  หรือนามธรรม  หรือการยอมรับนับถือ 

เพราะฉะนั้น  มันจะอุทิศชีวิตได้ไหม  ไม่ต้องพูดถึง  พูดถึงไม่ได้  มันไม่เข้าหูเขาหรอก เขาว่าพวกเรานี่โง่  สุดโง่แล้ว  มาทำอะไรกันตรงนี้  ภัยพิบัติจะมาถึง  รู้ทั้งรู้  ยังต้องมานั่งฟังธรรม  ปฏิบัติธรรม  น่าจะสะสมในสิ่งที่เตรียมกันมาในอะไรต่างๆ ส่วนต่าง ๆ สร้างไว้เราจะได้อยู่ได้นาน ๆ เราจะได้สุขสบายเยอะ ๆ  เขาว่าเราโง่รู้ตัวไหม?  รู้ตัวว่าโง่ก็ดีแล้ว  จะได้ฉลาดขึ้นมาอีกหน่อย  หมดธรรมะจากฝาหม้อ..เอาคืนไป...


(2)

...





ความ โลภของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด  โลกนี้ถ้ามันเป็นเจ้าของมันก็ไม่พอหรอก  มันจะไปยึดดาวอื่นอีก  จริงไหม?  มนุษย์ขนาดที่มันเหยียบนี่กี่ตารางนิ้ว  ที่เท้าสองเท้าของทุกท่านเหยียบนี่  นี่มันเท่าไร?  แล้วมันอะไรกันนักหนา  กิเลสทั้งนั้น  เออ...ไอ้พวกนี้มันกำเริบ  ลมกำเริบ  เดี๋ยวมันก็ตาย  มันก็ฆ่ากันตายเองแหละ  นะ  มันก็สมควรตายทั้งคู่  อันนี้ไม่ได้ว่าอะไร  ตามกรรมของมันนะ  มันก็เตรียมจะยิงกันอยู่แล้ว  ตายกันไปคนละฝ่าย เฮ้อ  มันมีใครดีไหมนี่  มันเป็นความอยากไม่สิ้นสุดนะ  เราไม่ว่าใครจะยังไง  แต่เมื่อความอยากแล้วจิตไม่บริสุทธิ์  แล้วเราก็ไปตามความอยากของมัน  ถ้าอยากสวย  อยากหล่อ  อยากดี  อยากใหญ่  อยากเก่ง อยากเด่น  อะไรน่ะ  มันก็ไปตามความอยากของมัน  ปรุงแต่งไป  ตรงนี้น่ากลัวมาก  ความอยากน่ากลัวกว่าความไม่อยาก..ถูกต้องไหม?   

ส่วนตรงนี้  ใช้เวลามากสักหน่อยในการทำความเข้าใจถึงจุดมุ่งหมาย ทบทวนทุกท่านนะ  สำหรับกฎของสิ่งที่ข้าพเจ้ามานะ  ทำไมมาช่วยเหลือพวกเจ้า ก็ได้บอกไปแล้วนั้น  ทำไมไม่ไปในส่วนที่ผู้มีบารมีที่ปฏิบัติมีฌานมากกว่ามากมาย 

ข้าพเจ้า ไม่ได้พูดถึงบุคคลอื่น  พูดถึงข้าพเจ้าทำไมถึงไม่ไป  เพราะว่าอะไร?  เพราะยังไงก็ตามก็ไม่สำคัญเท่ากับผู้รักษาพระธรรม  เพราะฉะนั้น  พวกเจ้าสำคัญในการที่จะรักษาพระธรรม  ถ้าพวกเจ้าไม่มีพระธรรม  อย่าหาว่าข้าพเจ้าไม่เกรงใจนะ  เมื่อไม่มีธรรมแล้ว  มันก็ไม่รู้จะเอาไปทำไม  ใช่ไหม? 

เงินทางโลกเจ้า....ข้าพเจ้าก็ใช้ไม่ได้  ...อาหารก็กินไม่ได้  ที่อยู่...ก็เป็นพิษ  แถมทหารที่ข้าพเจ้าพามานี่นะ อาจต้องเสี่ยงถึงชีวิตในการที่จะมาช่วยเหลือรักษาในการที่เจ้าสามารถรักษาพระธรรมได้  เขาเสี่ยงชีวิต    เพราะฉะนั้น  ตรงนี้เขาต้องอุทิศแม้กระทั่งชีวิตเหมือนกัน  ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวจะไม่ตาย  เป็นมนุษย์แต่อาจจะมีภาวะพลังงาน หรือสรีระ  หรือธาตุทั้ง 4 น่ะ  มันไม่เหมือนพวกเจ้า   อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในส่วนของที่เขาอยู่หรือตามสภาพของดวงดารานั้น ๆ ตรงนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติอย่าไปสนใจ  หรือว่าศึกษามากในรายละเอียดตรงนี้  เรานี้อากาศเย็นเท่าไร  ร้อนเท่าไร  ประชากรกี่คน  เลิกสงสัย เลิกถามได้แล้ว  แค่โลกของเจ้าเรียนยังไม่จบเลยนะ  ตรงนี้ต้องตัดไปนะ  ถึงมีความอยากรู้  ตรงนี้ต้องตัดไป เอาส่วนที่สำคัญก่อน  ต่อไปไม่ใช่แค่เรียนรู้  จักรู้ด้วยตนเอง  เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าจิตถึง เราก็ถึงเจ้าตรงนี้ 

... เพราะฉะนั้น  การที่พระพุทธองค์ทรงยกพระธรรมคำสั่งสอนเป็นศาสดาแทนท่าน  นั่นคือถูกต้อง  นั่นคือเนื้อธรรมที่ท่านบอก  กายหยาบที่ละสังขารไปมันก็ใช้ทำอะไรไม่ได้  แต่พระธรรมเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่จะเป็นศาสดา  หรือสิ่งที่เราจะเคารพบูชา  เพราะฉะนั้น  เรากำลังจะเป็นผู้ดำรงธรรม  เป็นเกียรติสูงสุด  เทพก็ต้องสรรเสริญพวกเจ้า  พรหมก็ต้องสรรเสริญพวกเจ้า  เพราะเขาไม่มีโอกาสในการอธิฐานจิตมาอยู่ ณ สถานที่นี้ได้  ไม่ใช่ว่าใครก็ได้นะ  ไม่ใช่...ต้องมีบารมีเพียงพอนะ

เพราะ ฉะนั้น  เจ้ามาอยู่ตรงนี้แล้ว  เรียกว่าประเสริฐนะ  ทุกคน  แต่ในส่วนการระลึกชาติ  หรือการมองเห็นล่วงหน้านั้น  มันไม่จำเป็น ให้รู้จิตว่า  ภาวะจิตของเราตรงนี้ให้ทำให้ดี


(3)

...



... เราตั้งจิตมุ่งหมายแล้ว เราต้องทำจริง  เราต้องตั้งใจว่าทำกันจริง   พูดว่าขึ้นยานฯ นี่มันโก้  โก้แน่นอน  ที่มากันนี่อยากขึ้นยานฯ  เพราะคิดว่ามันโก้ดีกว่ายานอวกาศรัสเซีย  ไม่สนเท่ายานฯของข้าพเจ้า  แต่กว่าจะโก้กันได้อย่างนั้น  ต้องตากเหงื่อกันน่าดู   ตายต้องยอมสละกัน  ถูกต้อง  ตรงนั้นเขาต้องเสียเงิน  ต้องมีความสามารถ 

แต่ตรงนี้ ต้องเสียชื่อเสียงนะ  บางคนเสียญาติมิตร  ไม่คบ  มันไม่น่าคบ  บางคนนึกว่าเราเสียจิตนะ  ถูกไหม?  ผ่านการเสียดสี  ที่เรียกว่าเราเสียดสี  ที่ว่าเราผ่านการเสียดสี  ยิ่งถูกเสียดทานมาก  ยิ่งบ่งบอกว่า  เราเป็นบุคคลที่มุ่งมั่นต่อพระธรรมมาก   เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่โดนว่าเป็นพวกที่หลงงมงาย  หรืออะไรก็ตาม  ยังไม่โดนแรงเสียดทานนั้น  บารมีเขยิบได้น้อยนะ  เพราะยังไม่ถูกแรงต้านทาน  ถึงใคร ๆ เขาว่าเราบ้า  ยินดีนะ  ที่มีผู้รับรอง

ใน สมัยก่อน  มนุษย์ต่างดาวเคยลงมาเจอมนุษย์  ในสมัยก่อนในทวีปยุโรป หรือทวีปใดของพวกเจ้า  พบแล้วเป็นไง พบแล้วอยากอีก   ตรงนี้ไม่มีประโยชน์  ในการที่เมื่อเรารู้  เรามีการไตร่ตรอง เราจะต้องทำสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับบุคคลที่เราจะดูแลเขา 

เพราะ ฉะนั้น  ถึงเจ้าร่ำร้องอย่างไร  เขาก็ยังไม่มาเพราะดวงจิตของเจ้ามันไม่พร้อม  มีไหมร้องไห้อยากจะเจอเขาน่ะ  ทุกคนมีจิตผูกพัน เรียกว่ามีจิตเก่า  เราเคยเจอกันมาก่อน  มีจิตผูกพันกับมนุษย์ต่างดาว  มันไม่แปลก  เพราะมีจิตผูกพันกันมาก่อน  ข้าพเจ้านี่แหละเคยเจอพวกเจ้ามาก่อน  มาแนะนำตัวกันก่อน  แล้วค่อยมาเจอกันใหม่  ตรงนี้มันจะคุ้น ๆ  นะ 

มัน มีขอบเขตจำกัดในการปฏิบัติเรื่องใด ๆ    ตรงนี้เป็นใบไม้นอกกำมือ  เจ้าเรียนรู้ไม่หมดหรอกขอบอกไว้ก่อน  สติแตกก่อนน่ะ   ภพมนุษย์ในภพปัจจุบันนี้สมองมันรับได้เท่านี้  สมองนะถึงบอกมันก็รับไม่ได้   และบารมีในการเรียนรู้มันก็มีขีดจำกัด  เพราะฉะนั้น  ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด  มันเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของพวกเจ้าอยู่แล้ว..

(4 จบ)..



...........

ข้อความส่วนหนึ่งที่ถอดจากเทปบันทึกเสียง
ของการให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 6 มีนาคม 2542
ณ เขากะลา  นครสวรรค์