วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องของอาวุธนิวเคลียร์


เรื่องของอาวุธนิวเคลียร์  ที่มนุษย์ต่างดาวได้เคยกล่าวไว้ว่า  เมื่อปี 2541 (12 ปีที่ผ่านมา)

ข้อความส่วนหนึ่งของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้  ณ เขากะลา 
วันที่ 10 ตุลาคม 2541
.....

สิ่ง ที่ข้าพเจ้าจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้านั้น ได้เคยกล่าวไว้แล้วในกาลก่อน มีในบันทึกนะ ก็จะบอกอีกสักครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้าจะมาช่วยทั้งเทคโนโลยี ซึ่งเป็นวัตถุที่เจ้าเห็นกัน และมาทั้งพระญาณ ซึ่งผ่านร่างที่เป็นมนุษย์เพื่อสื่อสาร

การ อยู่ช่วยเหลือของข้าพเจ้า ก็จะช่วยเหลือตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ อย่างเช่นในขณะนี้ มาให้พวกเจ้าเห็น มาให้พวกเจ้าเชื่อตามแต่บารมี ท่านที่มีบารมีตามแต่วาระจิต ก็จะได้เห็นข้าพเจ้าในความชัดเจน

เจ้าคนที่ถามครั้งก่อนนี้ ก็ไปถามเขาดู เขาได้เห็นความชัดเจนมาก

และสำหรับการที่จะอยู่ช่วยเหลืออันดับแรกนอกจากในขั้นต้นนี่นะ.... มาให้พวกเจ้าเห็นกันนะ


สงครามโลกของพวกเจ้าก็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว ไม่อย่างนั้นแล้ว โลกมนุษย์ของเจ้ามันคงพังพินาศกันไปมากกว่านี้  ถ้าไม่ได้รับการสกัดกั้นด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว   จากจักรวาลโลกุกะตาปากะดิกอง และจักรวาล และจากพระญาณ และยานฯ อวกาศของข้าพเจ้า

ส่วน ที่ 3 ก็คือ ช่วงในการเกิดภัยพิบัติ จะมีความโกลาหลวุ่นวายมากมายกันเหลือเกินในโลกมนุษย์ของพวกเจ้า ตอนนี้ก็ถือดีกันอยู่ แต่พอตอนนั้นจะเหมือนลูกหมาตกน้ำ... หมดแล้ว...ลาภยศ...ไอ้ที่มันลดยาก มันจะลดลงไป หลุดลงไปเลย มันไม่มีแล้ว เหลือแต่ตัว ตัวเองก็แทบจะมากันไม่ถึง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก็จะกระเซอะกระเซิง เป็นที่น่าเวทนา

เพราะ ว่าพวกข้าพเจ้า เมื่อหลังเกิดภัยพิบัติ และจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้าจนสามารถตั้งตัวกันได้  แล้วก็จะต้องถอนทัพกลับไป เพราะไม่สามารถจะอยู่ได้เลยตามกฎธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น การมาช่วยเหลือนั้น   
ตั้งแต่ก่อนเกิด  
จนเกิดภัยพิบัติ จะอยู่กับเจ้านี่แหละ..... 
และหลังจากเกิดภัยพิบัติ ก็จะอดอยาก ยากแค้น แร้นแค้นกันแล้ว เทคโนโลยีของข้าพเจ้า ก็จะนำมาให้พวกเจ้าในการดำรงชีวิตอยู่ในปัจจัย 4
...................................................

ข้อความจากต่างดาวตอน 9 จบ



ข้อความจากต่างดาว.... ตอน 9 จบ.
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่  9  จบ. )
...

(คุณ วิโรจน์) ท่านว่าในการนั่งสมาธิ  ให้ไปในหนทางแห่งการใช้ปัญญา  หมายความว่า  ที่จะเรียกปัญญาก็เหมือนท่านบอกว่าเป็นปัจจัตตัง อย่างนี้ใช่ไหมครับ  พอรู้แจ้งด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งหมด  ก็เท่ากับเป็นตาทิพย์ อย่างนี้ใช่ไหมครับ.
 
(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เออ...ตาทิพย์มันมีหลายอย่างนะ  สมมุติเจ้าตาทิพย์ สมมุตินะ  เจ้าตาทิพย์ มองจากที่นี่  มองเห็นยานอวกาศของข้าพเจ้า  บึงบอระเพ็ดเต็มไปหมด   กับการที่ใช้ปัญญา  เขาเรียกว่ามีปัญญา  ปัญญาญาณเนี่ย...ไม่เห็น  มองไม่เห็นนะ  แต่ว่ามีปัญญารู้ว่า  ที่ท่านเหล่านี้มา  มันมีความสำคัญแค่ไหน  มันมีความลึกซึ้งแค่ไหน  ใช้ปัญญามองลงไป  ความเพียรพยายามของเทพทั้งหลาย  ความสำคัญของญาณใหญ่ทั้งหลาย  มองด้วยปัญญาของตัวเอง  โดยไม่ต้องไปมองเห็นรูปร่างยาน  รูปร่างภายนอก   
 
แต่การมองด้วย ปัญญาแบบนี้  ข้าพเจ้าสรรเสริญมากกว่าการเพ่งแล้วเห็นยานอวกาศของข้าพเจ้าในสมาธิของพวก เจ้า   การมองด้วยปัญญาของเราตอนนี้  เราก็มองได้  ไตร่ตรองไปเยอะ ๆ มองให้มันแยบคาย  ให้ลึกซึ้ง  ว่าท่านทั้งหลายที่มาในขณะนี้  ที่นี่จะสำคัญเพียงไร  เทพทั้งหลายก็ลงมาจากเทวโลก  มนุษย์ต่างดาวก็มาจากที่ไกล  มาด้วยความยากลำบากเพียงไร
 


ข้า รู้นะ ร่างพระพิฆเณศร์ (จ.ส.อ.เชิด) ในสมัยที่ท่านได้พูดมา  ได้รับรู้น่ะว่าท่านนั่งสมาธิแบบนี้  นี่เป็นตัวอย่างได้  ท่านนั่งสมาธิไปนะ  นั่งนิ่ง ๆ วิธีไหนของเจ้าก็แล้วแต่  ท่านนั่งพุทเข้า โธออก  แล้วท่านก็ทำไงรู้มั๊ย....ท่านก็ไตร่ตรอง  โอ...ร่างกายเรานี้หนอ  มันไม่เที่ยง  มันทรุดโทรมไป  อนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา  ท่านพิจารณาสังขาร  เออ...มันไม่เที่ยงนะ  นั่งแล้วมันก็เมื่อยได้  ในร่างกายเรามันก็มีสิ่งไม่สวยไม่งาม  เพราะฉะนั้น  นี่คือสิ่งที่ท่านทำดีแล้ว  เทพทั้งหลายอนุโมทนา 

เพราะ ฉะนั้น  พวกเราล่ะ   ทำไมไม่ทำอย่างท่าน  เห็นไม่เห็นไม่เป็นไร  แต่พอจิตสงบ  มาดูซิ...มาดูความเป็นจริงซิ  ร่างกายของเรามันก็เท่านี้  พอ 30 แล้วร่างกายมันก็เหี่ยว  พอ 40 แล้วร่างกายมันก็เหี่ยวมากขึ้น  50 มันก็เหี่ยวมากขึ้น  มันดึงกลับไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้น  มันก็เป็นไปตามหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอนนะ  ไปไม่กลับ  หลับไม่ตื่นนะ  อีกหน่อยก็ต้องนึกถึงกันทุก ๆ คน  แล้วทำไมล่ะ  เวลาที่เหลือ  เราไม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงจิตของเรานะ  หน้าที่การงานของแต่ละคน  แยกย่อยกันไปแต่ละอย่าง  แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงจิตของตัวเรา  ทำได้ทุกวินาที  ตอนนี้ก็ทำได้ 

สิ่ง สำคัญที่ท่านสอนก็คือ  อย่าไปคิดร้ายใคร  ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู  และอย่าไปพูดว่าร้ายใครนะ  ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู  เสร็จแล้วก็อย่าไปทำร้ายใคร  อันนี้ก็สำคัญนะ  ไว้ป้องกันตัวเองนะ อย่างนี้   เราทำดีได้มาก  ได้น้อยเท่าไรไม่ว่า  แต่อย่าไปคิดร้ายใคร อย่าไปทำร้าย  อย่าไปว่าร้ายใครนะ    เพราะฉะนั้น  สิ่งที่คนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นมหาโจร  ก็เป็นไปตามกรรมของเขา  เราก็รู้ไปตามหลักกฏแห่งกรรมนะ  อย่าไปว่าเขา  อย่าไปซ้ำเติมเขา  ถ้าช่วยเขาไม่ได้ก็ปลงสังเวชไปนะ 

อันนี้นะ  ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนานะ  พระพุทธองค์น่ะ  ท่านไม่คิดร้ายใคร  ไม่ว่าร้ายใครนะ  ท่านไม่ทำร้ายใครนะ  พญามารมาแกล้งท่าน  ท่านก็ไม่ว่าร้ายนะ  ไม่คิดร้ายนะ  เพราะฉะนั้น  เราเป็นศิษย์พระพุทธองค์ ทำตามแบบนี้  ธรรมะ..ชนะ..อธรรม  เสมอนะ  แต่ใช้เวลาหน่อยนะ

เออ...วันนี้ได้ประโยชน์กันไปเยอะนะ  แต่ใครจะคุ้มค่ามากก็คือคนที่เอาไปไตร่ตรอง  ธรรมะนี่มันสำคัญยิ่งกว่าทองนะ 

....สมควรแก่เวลา  ทุกท่านในที่นี้ เดี๋ยวรับบารมีจากข้าพเจ้า .... เปิดใจรับบารมีจากข้าพเจ้าโดยพร้อมเพรียงกันด้วยเทอญ

...

ตอน 9 (จบ)
.......


จบการให้โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  วันที่  10  ตุลาคม  2541 
ณ เขากะลา  จังหวัดนครสวรรค์

การให้โอวาท  ในวันที่ 10  ตุลาคม 2541  ได้นำข้อความมาถ่ายทอดให้ทราบจบไปแล้ว...ในส่วนของเนื้อหาที่สำคัญ
หากมีโอกาส  จะนำข้อความในส่วนสำคัญชุดอื่น ๆ มาให้ท่านที่สนใจได้รับทราบต่อไป

น่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถทำได้  โดยเน้นการไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธองค์เป็นหลัก 
และเป็นการปฏิบัติที่หลายท่านเมื่อทำความเข้าใจได้ตรง  ก็สามารถปฏิบัติได้ในทันที

มนุษย์ ต่างดาว จากดาวพลูโต ท่านมีอายุยืนหลายหมื่นปี  ท่านรับรู้เรื่องราวบนโลกมนุษย์นี้นานมาแล้ว  ตั้งแต่ในสมัยก่อนพุทธกาล  ดังนั้น  ท่านจึงเห็นการปฏิบัติในแนวทางที่ตรงแก่น  คือการใช้ปัญญาพิจารณาในธรรม  เป็นหลัก

การสอนในกฏธรรมชาติ จากมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลานั้น  มุ่งเน้นให้ผู้ที่มารับฟังธรรมได้เห็นในกฏของธรรมชาติ  เห็นในแก่นแท้ของธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมากที่สุดคือ  กฏไตรลักษณ์  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

ผู้ ที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีสูงสุด   แต่กลับมาสอน....เรื่องการพัฒนาจิตใจเป็นหลัก  จึงดูเหมือนเป็นการสวนทางกันอย่างยิ่ง กับโลกในยุคปัจจุบันนี้.

มนุษย์ต่างดาวเน้นปัญญาไม่เน้นปาฏิหาริย์



มนุษย์ต่างดาวเน้นปัญญาไม่เน้นปาฏิหาริย์
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่  8 )

..

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เพราะว่าภพมนุษย์ของเจ้า   มันสามารถมองเห็นคนที่มีความทุกข์กว่าเจ้า  มีความสุขกว่าเจ้า  คนรวยกว่าเจ้าคนจนกว่าเจ้า  สัตว์เดรัจฉานหรือสิ่งที่มีความแตกต่างนั้น จะทำให้เกิดปัญญาโดยแท้จริง  เพราะฉะนั้น ทำไมภพมนุษย์จึงเป็นภพที่สามารถบรรลุธรรมได้  ทั้งที่พวกเจ้าก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วเนี่ย..  ทำไมพวกเจ้าจึงเป็นภพที่สามารถบรรลุธรรมได้มากที่สุด  สามารถสร้างบารมีได้มากที่สุด  เพราะอะไร  เพราะมันมีหนทางให้เกิดปัญญา 
 
เพราะ ฉะนั้นตัวของเจ้ามันก็ไม่ใช่ของเจ้า  เอาปัญญาไปไตร่ตรอง  แล้วลดละซะ  มันก็จะได้บรรลุธรรมไปเอง....เออ..เพราะฉะนั้น ยิ่งมีความเจ็บปวด ยิ่งน่าสร้างบารมีน่ะ  เพราะสร้างบารมีแล้วเจ็บปวด แต่อุตสาหะสร้างบารมี  นี่จะเป็นบารมีเสียดทานไป  แต่ถ้าเป็นเทวดาแล้ว  สร้างบารมียังไงก็ไม่เหนื่อย  ไม่หิว ไม่ต้องทำงาน  ไม่ต้องบากบั่น  ฝนตกก็ไม่เปียก  ลมพัดมาก็ไม่หนาวเกินไป  ไม่ร้อนเกินไป  สบาย   เพราะฉะนั้น เทวดาสร้างบารมีแล้ว  ก็ยังได้บารมีน้อยกว่าพวกเจ้า 
 
เพราะ ฉะนั้น พวกเจ้าฝนตกก็ยังมานั่งในศาลา  ยังอดทนกันไป  นี่คือการเสียดทานแรงบารมี  ต้องมีการเสียดทาน  ยิ่งใครเสียดทานมากก็ได้มาก  ทำไมพระพุทธองค์ท่านบารมีมากขั้นดุสิตเทพ  ลงไปแล้ว  ก็ยังเสียดทาน  เป็นมนุษย์ยังต้องไปลำบากลำบนอยู่ตั้ง ปี  เจ้าถึง 6 ปีกันมั๊ยเนี่ย...อีกไม่นานมันก็จะวิบัติกันอยู่แล้ว ทน ๆ กันหน่อย..
 
เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเจ้าเนิ่นช้าไป  ทำไมต้นพุทธกาลเขาบรรลุธรรมกันง่าย ๆ ล่ะ  เขาเจอของจริง  แล้วเขาไม่รั้งรอ  เพราะเขาไม่มีวิชาสอนที่มันผิด  วิชาที่สอนกันในยุคเสื่อมมันสอนให้ยึดติดกันเยอะ สอนธรรมะแต่ให้ยึดติดวิชา  มันทำไมถึงเป็นอย่างนั้น...
 
ในยุคของสมัยก่อน เขาสอนธรรมะบอกต่อกันไป  ไม่มีการเคลือบแคลง และก็บรรลุธรรมกันไปได้โดยเร็วไว  เพราะอะไร  เพราะเขาสั่งสมบุญของเขามาจนถึงที่สุด  พวกเจ้ามาถึงกึ่งพุทธกาลแล้ว  บุญไม่ใช่น้อย ๆ น่ะ  มาถึงตรงนี้ได้น่ะ ไม่ใช่บุญเล็กบุญน้อย  มากนะทำกันมาเยอะแล้ว  เนิ่นช้ามาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่ได้บรรลุธรรม  ชาตินี้ต้องบรรลุธรรมให้ได้นะ  แต่จะบรรลุธรรมด้วยอะไร  ตาทิพย์เหรอ..ไม่ใช่  ด้วยเหาะเหินได้เหรอ..ไม่ใช่  เจ้าไม่ต้องไปหัดหรอก  เหาะเหินเดินอากาศน่ะ  นก...น่ะนะ..มันไม่ต้องหัดเลย  มันเกิดมาแม่มันสอนหน่อยเดียวมันก็บินได้  แต่อะไรที่มันด้อยกว่าเรา   ทำไมมันถึงบินได้  และทำไมมันถึงเป็นสัตว์เดรัจฉาน  เพราะมันไม่มีปัญญา  เพราะฉะนั้น  เจ้าดูซิ...เจ้าเป็นคนเดินดิน แต่เจ้ามีโอกาสที่จะมีปัญญาสูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน   
 
เพราะ ฉะนั้น  เจ้าไม่ต้องไปเรียนวิชาเหาะเหินเดินอากาศ  ตาทิพย์ หูทิพย์  หมาป่ามันมองเห็นกลางคืนดีกว่าเจ้ามันไม่ต้องมีกล้องส่องทางไกล  เพราะฉะนั้นธรรมชาติมันสร้างสรรค์ทุก ๆ  อย่าง  แต่ธรรมชาติที่ดีที่สุดคือมนุษย์  เพราะมนุษย์มีอะไร  เพราะมนุษย์มีปัญญาสามารถไตร่ตรอง  อะไรดี  อะไรชั่ว  อะไรถูก  อะไรผิด  อย่าใช้ปัญญาตรงนี้ไปในทางที่ผิด  เจ้าจะดิ่งนรก  ถ้าไปในทางที่ถูก  เจ้าจะหลุดพ้นจากโลกนะ   ....  โลกุตระธรรมนั้นคือสิ่งสุดยอด...
 
แต่ มันต้องใช้แรงเสียดทานเยอะ  มันไม่ใช่ไปด้วยการยกยอปอปั้น  มันต้องไปด้วยการโดนสาปแช่งบ้าง  โดนคนว่าบ้าบ้าง  ที่นี่จะต้องโดนคนว่าบ้ากันหมดทุกคน   ยิ่งใครบารมีมาก  ก็จะต้องโดนว่าบ้ามาก  เพราะอะไร  เพราะมนุษย์โลกมันไม่เข้าใจหรอก   เพราะฉะนั้น ใครทนอยู่ได้   ก็แปลว่า...เราเห็นว่ามันจริง    เราทนอยู่ได้  แปลว่าเราละการยึดติดในลาภยศ ชื่อเสียงของเราได้มาก เพราะฉะนั้นมันจะเป็นสิ่งที่บอกฟ้องอยู่แล้ว

สำหรับเราสาวกของพระ พุทธองค์  ศาสนาพุทธต้องใช้ปัญญานำ  เพราะอะไร  เพราะว่าพื้นฐานแต่ละบุคคล  ข้าพเจ้าไม่พูดถึงที่อื่น  พูดถึงแต่ในที่นี้  แต่ละคนที่เรียงรายกันมาอยู่เนี่ย  จะบรรลุธรรมได้ต้องใช้ปัญญานำ..
..........................................

ฝึกสมาธิด้วยปัญญา


ฝึกสมาธิด้วยปัญญา
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 7)


...

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ธรรมะในสำนักไหนก็ตาม  ไม่ว่าจะสอนในสิ่งใด ๆ ก็ตาม  ให้นำไปเทียบเคียงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้  เรียกว่าธรรมะข้อไหนน่ะที่ให้เทียบเคียงว่า  ธรรมะสิ่งใด เป็นไปในทางที่จะปล่อยวาง  ในทางที่จะลด  ในทางที่จะไม่สะสม  หรือเป็นไปในทางที่จะไม่มักใหญ่ใฝ่สูง เป็นธรรมะที่ถูกต้อง  เจ้าไปศึกษากันนะ
 
เพราะฉะนั้น ในสำนักต่าง ๆ  การฝึกสมาธิให้เห็นสิ่งต่าง ๆ  เป็นอุบายนั้น    ถ้าฝึกสมาธิเริ่มจากวิธีนี้  การที่เราจะบรรลุธรรมในขั้นลึก ๆ นั้น  มันอดไม่ได้ที่มันอยากจะเห็น  มันก็จะจินตนาการ  ถ้ามันไม่ได้จริงมันก็จะจินตนาการไปก่อน  เพราะว่าเขาฝึกมาในแนวแบบนั้น  แล้วเจ้าคิดหรือ  แทนที่จะบรรลุธรรมเพื่อที่จะลดละเลิกนั้น  กับการจินตนาการสร้างเสริมเข้าไปนั้น มันสวนทางกัน  เพราะฉะนั้น ศีลธรรมขั้นพื้นฐานของสมาธิวิธีนี้ได้  แต่ที่จะให้บรรลุธรรมลึกในการลดละเลิกนั้น  มันเป็นไปได้ยากที่บุคคลจะไตร่ตรองด้วยปัญญาว่า  สมาธิที่เราฝึกมานี้  เมื่อเห็นแล้วจะไม่ลำพองว่าเรามีความสามารถเหนือมนุษย์  ถ้าจิตไปจับตรงนั้นแป๊บเดียวเอง  ไม่สามารถบรรลุธรรมได้  แล้วเจ้าจะเอายังไง  ตรงนั้นเป็นสมาธิที่ฝึกในเป้าน่ะนะ  แถบกลาง ๆ หรือแถบริม ๆ   
 
เพราะฉะนั้น ข้อดีข้อเสียแต่ละอย่างมันจะมี  แม้แต่เชื้อโรค  เชื้อโรคยังมีข้อดีข้อเสีย เชื้อโรคมีให้เป็นโรคกัน  กับเชื้อโรคมีการทำให้มันแก้โรคกันได้   เพราะฉะนั้น  สมาธินะ  อย่างพวกหมอผีมันเพ่ง ๆ ๆ สมาธิน่ะนะ  จิตมันหลุดมันได้ฌาณเลยนะ  แต่ว่าฌาณของมันเอาไปทำในการคุมพวกผี  เออ...มันก็เป็นไปได้นะ  เพราะฉะนั้น  สมาธิดำมันมี  แต่ถ้าเราจะไม่ให้สมาธิของเราเข้าไปในข่ายสมาธิดำ  เราก็เอาปัญญามาก่อนซิ  นั่งสมาธิไปด้วยฟังธรรมไปด้วย  เอาปัญญามาก่อน  ถ้าปัญญาที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว  ไม่มีทางที่จะเป็นสมาธิดำไปได้  ฟังธรรมประกอบปัญญา  นั่งสมาธิประกอบฟังธรรม
 
เพราะฉะนั้น  สำนักต่าง ๆ นั้น เขาจะทำดี หรือไม่ดีในความคิดของเรานั้น  เราก็ไปทำอะไรเขาไม่ได้  แต่ตัวเราล่ะ  เราทำดวงจิตของตัวเราได้นะ   เจ้าไตร่ตรองด้วยปัญญาของดวงจิตของเจ้า   ไตร่ตรองดูซิเราจะทำแบบนี้ดีไหม  มันเป็นการลด ละ เลิก ไหม  ต้องไตร่ตรองด้วยจิตของตัวเองจริง ๆ  เพราะว่าเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดวงจิตของเรานะ  ถ้าเราพลั้งพลาดไปในการทำสมาธิ  หรือในการฟังธรรม  หรือในการปฏิบัติในสายใดก็แล้วแต่   แล้วมันเนิ่นช้าไป  เราก็ต้องรับผิดชอบในดวงจิตของเรา  เจ้าดูซิ...พระพุทธองค์ก็เป็นคนอย่างเรา  ท่านปฏิบัติจนเป็นพระพุทธองค์แล้ว  แล้วเราล่ะ
 
เพราะฉะนั้น  ท่านปฏิบัติถูกทางระยะเวลาเนิ่นนาน  ดวงจิตเรากับดวงจิตท่านก็ระยะเวลาไม่แพ้กันนะ  ไม่ใช่ท่านเกิดมาก่อนเรานะ    เพราะฉะนั้น การสร้างบารมีปัญญามันอยู่ตรงนี้  ใครไปทางตรงใครไปทางอ้อม   เจ้าไปในสมาธิ นึกหรือไปเห็นได้จริง  แต่มันอาจจะเป็นทางอ้อมก็ได้ใช่ไหม  ไปเห็นจนทั่วจักรวาลก่อนแล้วค่อยมาบรรลุธรรม  แต่ว่าตอนนี้  มัน 80, 90 ตายไปก่อน  ไปเกิดในประเทศที่เขาฝึกสมาธิกันอีก 3 ชาติ  แล้วค่อยมาเจอธรรมะ  มันวนกันไปน่ะ  แล้ววนกันมาสักเท่าไรแล้วเนี่ย...หา...
 
ตอน นี้ทางตรงมาแล้ว  ปัญญาในการที่ท่านสอนพวกเจ้าน่ะนะ  อย่าละเลยกัน   ข้าพเจ้าจะบอก  เจอเพชรแล้วไม่หยิบน่ะนะ  เขาเรียกว่า  ลิงได้แก้ว  ไม่อยากเป็นลิงกันใช่ไหม...  หรือว่า  ไก่ได้พลอย  อยากเป็นไก่กันมั๊ย   ตอนนี้ของจริงมาถึงแล้ว  ธรรมะเนื้อหาตัวเน้น ๆ ไม่ต้องไปไตร่ตรองกันนานนะ  ไตร่ตรองกันเป็น 10 ปี 20 ปี ไม่เอานะ  มันจะตายกันก่อน ฟังแล้วปฏิบัติเลย  ใครมีพ่อแม่ฟังธรรมแล้วตัดกรรม  ฟังแล้วปฏิบัติเลยนะ  เวลามันน้อยนะ 
 
ข้าพเจ้ามาบำเพ็ญบารมี  ก็มีความยินดีที่พวกเจ้าได้ฟังธรรม   ซึ่งข้าพเจ้าก็ต้องสั่งสมบารมีเหมือนกัน  เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิ  เออ...เจ้าฝึกไปกี่ปีล่ะจะได้เท่าข้าพเจ้า  เพราะข้าพเจ้าอยู่มานาน  เกิดมานานเป็นหมื่น ๆ ปีแล้ว  เพราะฉะนั้น  ให้จิตนิ่งได้  ถ้าใช้เวลานาน    แต่ปัญญาตรัสรู้ซิ  มันไม่ได้ทุกคน   เพราะฉะนั้นอินทรีย์แก่กล้าปัญญาตรัสรู้  ต้องใช้การไตร่ตรอง. 

มนุษย์ต่างดาวกล่าวถึงกฏธรรมชาติ


มนุษย์ต่างดาวกล่าวถึง...กฏธรรมชาติ
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 6)


.....

(คุณพิศมัย)  อยากถามว่า จะทำบุญแบบไหน  หรือนั่งสมาธิ  หรือถวายสังฆทานแบบไหน? ที่จะถวายพระองค์ท่าน
 
(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ถวายข้าพเจ้าน่ะรึก็ถวายปัญญาซิ  เจ้าก็ปฏิบัติซิ  สิ่งที่ข้าพเจ้าสอน  สิ่งที่ข้าพเจ้าเตือน  และโยงใยไปถึงธรรมะนั้น  เจ้าปฏิบัติเลย ข้าพเจ้ารู้นะ  ถ้าเจ้าปฏิบัติมาก  ไตร่ตรองมาก  เรียกว่า ถวายมาก  และข้าพเจ้าจะไปรอนะ...เออ...ไม่ต้องมาเป็นของ   เป็นวาระจิตของเจ้า  ซึ่งจะปฏิบัติถวายข้าพเจ้า   ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะรู้ใครถวายมาก  ถวายน้อย  นับมานะแต่ละคนน่ะ  เดี๋ยวเล็งไปก่อนนะ  กลับไปถวายมาก ถวายน้อย  จะถวายข้าพเจ้านะ  ถวายอย่างนี้  ต้องถวายด้วยปัญญาของพวกเจ้า  ซึ่งจะต้องฟังธรรมสะสมบารมีให้มันมากขึ้น  รวมทั้งการเตือนจากผู้มีบารมี  ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสามัญธรรมดา  บุคคลซึ่งมีพระญาณของทวยเทพได้ผ่านพระญาณลงมาบอก  หรือบุคคลที่มีพระญาณของมนุษย์ต่างดาว  ได้ผ่านมาบอกนั้น  เป็นสิ่งสำคัญทั้งนั้น
 
เพราะฉะนั้น  เจ้านะ  ข้าเล็งไว้ก่อนนะ  จะถวายข้าพเจ้าใช่ไหมสร้างปัญญาถวายนะ
 


(คุณวรวิทย์)  ที่ท่านพูดถึงนี้  หมายถึงเวลานั่งสมาธิให้นึกถึงท่านใช่ไหม?
 


(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ยังไม่เข้าใจอีกหรือไม่ใช่อย่างนั้น  ก็คือการที่เจ้าน่ะแหละไปไตร่ตรองเรียนรู้ในธรรมของพระพุทธองค์  แล้วก็จากการสร้างเสริมสติปัญญาของพวกเจ้า  แล้วก็ปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะเสียดทานทางโลก  เพื่อที่จะเข้ามาหาทางธรรมนั่นแหละ  เรียกว่าถวายข้าพเจ้าแล้ว  ไม่ต้องมานึกถึงข้าพเจ้าหรอก  ข้าพเจ้ารู้เอง
 


ธรรมชาติ บอกว่า...มนุษย์นี้มีการเกิด ... ก็ต้องมีการแก่  เพราะฉะนั้น ถ้าใครแก่แล้วจะฝืนไม่ให้แก่  ก็ต้องมีความทุกข์  นั่นก็คือกฏธรรมชาติ  เพราะฉะนั้น  กฏธรรมชาติมีอยู่ทั่วแสนโกฏจักรวาล  เป็นหนึ่งเดียวกัน  แต่การที่ใครจะเป็นผู้ที่มีญาณหยั่งรู้มาบอกกฏของธรรมชาติให้ละเอียดยิบ นั้น  มันไม่มีได้ทุกคน 
 

เจ้า ลองคิดดูว่าใครที่จะรู้ลึก  ศาสนาทุกศาสนา  ก็เรียนรู้กฏธรรมชาติได้  แต่ใครจะรู้ได้ 100 %   ใครจะรู้ 50 %  ใครใครจะรู้ 20 %  ใครจะรู้ 5 %  ใครจะรู้ 1 %  หรือ 0 %  เพราะฉะนั้น  พวกเจ้าต้องไตร่ตรองในบารมีของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ว่าท่านรอบรู้    "ใบไม้ในกำมือเดียว"  ท่านนำมาสอน  พวกเราก็ยังเรียนรู้กันไม่หมดแล้ว  เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่อยู่นอกกำมือท่าน  แต่นำมาประกอบการที่พวกเจ้าจะเรียนรู้ธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงนำมาสอน 
 
เพราะ ฉะนั้น  มนุษย์ต่างดาว    จริง ๆ ในหลักธรรมะของพระพุทธองค์ที่สอนใน 84000 พระธรรมขันธ์  ท่านไม่เน้นให้มานับถือมนุษย์ต่างดาว  หรือให้มาติดต่อมนุษย์ต่างดาวหรอกนะ  แต่ในเวลาวิกฤติอย่างนี้  มนุษย์ต่างดาวก็ลงมาอนุโมทนา   แต่นั่นก็เป็นในสิ่งหนึ่ง  ซึ่งท่านพูดไว้ในพระไตรปิฎก

 
เพราะฉะนั้น  ท่านได้รอบรู้ไปในแสนโกฏจักรวาล  ท่านรู้ท่านเห็น  แต่สิ่งที่มีประโยชน์กับพวกเจ้า  นั่นคือ
"กฏแห่งกรรม" 

พระธรรมที่พวกเจ้าละเลยกันมาเป็นเวลานานหลายปีนั่นแหละ  เอามาเถอะ   นั่นคือสิ่งสุดยอดแล้ว 
 
เพราะ ฉะนั้น  ทำไมท่านไม่ไปสอนวิชามนุษย์ต่างดาว ตั้งแต่ 2,500 ปี เพราะอะไรเพราะตอนนั้นมันไม่มีประโยชน์  มันไม่มีประโยชน์กับดวงจิตของพวกเจ้า  เรียนรู้เรื่องโลกของข้าพเจ้า  แล้วพวกเจ้าก็ตายไปตกนรก  มันมีประโยชน์ไหม
 
แต่ เรียนรู้พระธรรม  เรียนรู้กฏธรรมชาติ  ตายไปแล้วได้เสวยสุขในทิพยสมบัติ  หรือได้บรรลุมรรคผลนิพพาน  อันไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน  เพราะฉะนั้น  สิ่งที่พวกเจ้าได้รู้ว่า  พระธรรมของข้าพเจ้าที่นำมานั้น  ก็คือ..."กฏธรรมชาติ"  นั่นคือกฏอันเดียวกัน 
 
เพราะฉะนั้น  ธรรมของพระพุทธองค์  นั่นก็คือ "กฏของธรรมชาติ"  ซึ่งท่านมีปัญญาหยั่งรู้มากกว่าข้าพเจ้ามากมายหลายร้อยหลายพันเท่านัก  เพราะฉะนั้น  เศษเสี้ยวที่ข้าพเจ้านำมาบอก  ก็จะมีอยู่ในพระธรรมของพระพุทธองค์ทั้งนั้น...เข้าใจหรือยังล่ะ.. 
.........................................................................................

เทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาว


เทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาว
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 5)


...

(คุณ วิโรจน์) ท่านผู้สูงสุดครับ... ตามที่ท่านบอกว่า 1 ใน 60 บุคคล ที่ได้รับเลือกไปนี้นับว่าเป็นการโชคดีมาก แต่ผมเองคิดว่า ใครที่ได้รับเลือกไปนี้มันคงจะไม่ใช่โชคดี แต่จะเป็นการเสียสละ ช่วยโลกและช่วยเพื่อนมนุษย์ชาติจริง ๆ มันคงไม่ใช่งานสนุก แต่ถ้าเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบด้วยกิเลส ว่าโชคดีได้ไปขึ้นบนจานบินของมนุษย์ต่างดาว มันคงไม่สำเร็จอะไร ก็คงมีบางคนคิดเล่น ๆ เหมือนกันนะ

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ที่เจ้าถามมานะ พวกเจ้าคิดว่าผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น พวกเจ้าคิดว่าเขาโชคดี ฟลุ๊ค จึงได้บรรลุธรรมหรือ?..... หรือเป็นพระโสดาบัน โชคดีได้บรรลุธรรมหรือ?   ไม่ใช่นะ นั่นเป็นสิ่งที่เป็นเหตุ เป็นผล เป็นปัจจัย

บุคคลที่เข้ามาเป็น 60 บุคคลนั้น จะไม่มีใครฟลุ๊ค ไม่มีใครโชคดีไปเห็นยานต่างดาว จะไม่ใช่แบบนั้นนะ  จะเป็นบุคคลที่ตั้งจิตอธิฐานลงมาตั้งแต่เขาอยู่บนเทวโลก และปวรณาตัวอธิฐานจิตลงมา เสี่ยงบารมีลงมาเพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ในภพมนุษย์ที่จะเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้   แต่การที่ข้าพเจ้าบอกว่าโชคดีนั้น เพราะมนุษย์ถ้าได้รับการฝึกฝน อบรมแล้วมาช่วยเพื่อนมนุษย์นั้น เป็นโอกาสดี เพราะว่าอะไร?


สมมุติ เจ้าไปเรียนรู้วิชาแพทย์ แพทย์ในเมืองของเจ้านะ แล้วก็ไปอยู่ในหมู่บ้าน ตรงไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีบุคคล 5 บุคคล หมู่บ้านนั้นมีบุคคล 5 คน เจ้าก็ได้ไปใช้วิชาแพทย์ เรียนมาเป็น ด๊อกเตอร์ ก็ได้ใช้วิชาด๊อกเตอร์กับคน 5 คน

แต่อีกคนหนึ่งเรียนวิชาแพทย์เหมือนกัน แต่ได้ไปอยู่ในหมู่บ้านที่ซึ่งมีบุคคล 1,000 คน หรือ 10,000 คน เจ้าว่าใครโชคดี

(ตอบ....10,000 คน)

โชคดีเพราะอะไร?

(ตอบ....เพราะช่วยเหลือได้หลายคน)

แต่มันสบายไหม?

(ตอบ....ไม่สบาย)

ปางตายเลยละ.......

เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องเปิดโรงพยาบาล ให้เครื่องมือกับแพทย์คนนั้น ซึ่งไปช่วยเหลือคน 10,000 คน

พลังนั้น ที่ข้าพเจ้าจะต้องนำมาให้ อันนี้เป็นการเปรียบเปรยนะ ไม่ใช่ทุกคนจะลงมาเป็นหมอกันหมดนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ

แพทย์จบมาเหมือนกัน ก็เหมือนพวกเจ้าในปัจจุบันนี้ ผู้ที่สามารถจะสร้างบารมีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็มีในปัจจุบันนี้
แต่ ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรม และช่วยเหลือมวลมนุษย์ซึ่งเขาแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และมีจำนวนมากมายเหลือเกิน ที่จะให้พวกเจ้าลงไปช่วยเหลือนั้น


โชค ดีก็คือ พวกเจ้าน่ะจบเป็นแพทย์เหมือนในยุคนี้เหมือนกัน แต่ได้ไปปล่อยในหมู่บ้าน ซึ่งมีบุคคล 10,000 คน และมีแพทย์คือเจ้าคนเดียว เขาเจ็บป่วย เขาทุกข์ทรมาน เขาก็ต้องมาหาเรา

ข้าพเจ้า เป็นผู้ซึ่งมาบำเพ็ญบารมีเหมือนกัน เพราะตามกฏของกรรม ข้าพเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นมนุษย์ต่างดาวแล้ว ลอยไป ลอยมา ไม่ต้องสร้างบารมี มันก็ทำไม่ได้
ข้าพเจ้า ก็จะสร้างบารมี โดยการที่จะสงเคราะห์แพทย์ เรียกว่าแพทย์ชนบทได้ไหม?....แพทย์ต้องรักษา 10,000 คน แพทย์ชนบทนะ โดยการให้หูฟัง โดยการให้เครื่องมือตรวจ โดยการให้เครื่องมือเช็ค นั่นเรียกว่า พลัง


เพราะฉะนั้น นี่เรียกว่าการเปรียบเปรย

ไม่ใช่ว่ามีพลังแล้ว เขาจะไม่ให้การบรรลุธรรมนะ การบรรลุธรรมนั้นต้องใช้ดวงจิตของแต่ละคน

เพราะ ฉะนั้น ถ้าแพทย์ซึ่งลงไปอยู่ในหมู่บ้านซึ่งมี 10,000 คน เขามีเครื่องมือพร้อมจากการอนุเคราะห์ และมีดวงจิตของเขา แต่ถ้าเขาไม่ใช้เครื่องมือ และใช้ความสามารถของเขา เขาก็ไม่ได้โอกาส
เพราะ ฉะนั้น ถ้าเขามีโอกาส และได้ใช้ความสามารถของเขา เขาก็สามารถบำเพ็ญบารมีได้มากมาย เรียกว่าโชคดีตรงนี้ ที่เรียกว่าโชคดีก็คือ ได้เหนื่อยแสนสาหัส ได้บารมี


มันแสนสาหัสนะ ถ้าใครทนความสาหัสไม่ได้ ก็ไม่ได้เป็น 1 ใน 60 บุคคล

เตรียม ตัวเตรียมใจกันเถอะ เพราะว่าอะไร การที่พวกเจ้าจะไปช่วยเหลือบุคคลที่กระเซอะกระเซิง ภัยพิบัตินั้นมันต้องจากลูกจากหลาน จากภรรยาสามีไปตามกฏแห่งกรรม...ในหนึ่งครอบครัวมันจะเหลือกันไม่ครบทั้งครอบ ครัวหรอก ในส่วนมาก ฉะนั้นพวกเจ้า ต้องไปช่วยเหลือเขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ

เพราะฉะนั้น ศาสตร์ต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าจะอนุเคราะห์ให้พวกเจ้านั้น จะมีทั้งศาสตร์ทางเทคโนโลยีทั้งทางร่างกาย และจิตใจ นั่นคือ ธรรมของพระพุทธองค์ ซึ่งจะเป็นธรรมโอสถ มันจะต้องผสมผสานไปในทางที่จะกลมกลืนกัน ให้ช่วยเหลือได้ผลเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ... เข้าใจหรือยังล่ะ.

......................................................................

ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต10/10/41


การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เปล่งพระสุรเสียง(เสียงหัวเราะ) อันเป็นสัญญาลักษณ์ของท่านก่อนที่จะกล่าวให้โอวาท .....  สาวกใหม่  ไม่ต้องตกใจนะ  พระญาณของข้าพเจ้าจะต้องลงมาในสัญญลักษณ์นี้ทุกครั้งไป  ใครที่เคยได้ฟังบันทึกในพระญาณของข้าพเจ้านะ  ถ้าไม่ใช่สัญญลักษณ์นี้  ไม่ใช่ของจริง  สมาชิกใหม่มีหลายคนนะ
 
 
(จ.ส.อ.เชิด  ชื่นสำนวน) มีสมาชิกมาจากฝรั่งเศส จะมาพบท่าน ?
 


(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ไหนล่ะ ... มาซิ  เจ้าไม่ใช่ใครอื่นไกลหรอกนะ   เป็นผู้ที่มีบารมีในการอธิฐานจิตลงมา  ยังไงซะก็ต้องมาเจอกัน  พรรคพวกเก่า     เจ้าเพิ่งมาสัมผัสที่นี่  อาจจะยังไม่รู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้ทำกันมาแต่ดั้งเดิม 
 
สำหรับข้าพเจ้า  ได้เคยกล่าวในกาลก่อนแล้ว  แต่ใน ณ ที่นี้  ก็จะกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า  ข้าพเจ้า " ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต "  ข้าพเจ้าได้นำพระญาณ และนำวัตถุที่พวกเจ้าเรียกกันว่า "ยานอวกาศ" นั้น  ข้าพเจ้า  อนุญาตให้สมาชิกของข้าพเจ้าซึ่งเป็นกองทัพ  ในโลกของเจ้าเรียกว่าทหาร  หรือเป็นราชองครักษ์ของข้าพเจ้า  เปิดให้ดูด้วยตาเนื้อของพวกเจ้า  จำนวนหนึ่ง  แต่ที่พวกเจ้าได้รับรู้ว่า  ข้าพเจ้าได้นำกองบัญชาการ   ซึ่งผู้ที่ได้พูดเมื่อสักครู่นี้  ข้าพเจ้าก็เล็งเห็นในวาระจิตว่าจะเป็นผู้เผยแพร่ข่าวสารให้มีคุณภาพ  มีความน่าเชื่อถือ  ก็ให้เขาสามารถบันทึกภาพกองบัญชาการของข้าพเจ้า  ครั้งที่พวกเจ้าได้เห็นกัน    ดังบันทึกในภาพของมนุษย์โลกที่เจ้าเรียกกันว่า วี.ดี.โอ. นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้า  ซึ่งเป็นทหารองครักษ์ของข้าพเจ้า
 
ทำไม ต้องนำกองบัญชาการลงมาในโลกมนุษย์ด้วย  เพราะโลกมนุษย์ของเจ้าในภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น  นอกจากภัยจากธรรมชาติ   ยังมีภัยจากน้ำมือมนุษย์  นั่นก็คือ  มนุษย์พวกเดียวกับเจ้านี่เอง  การที่พวกเจ้าได้รับรู้จากคำทำนายในศาสตร์ต่าง ๆ  ในศาสนาต่าง ๆ นั้น  สงครามโลกซึ่งข้าพเจ้าได้เคยกล่าวไว้ในกาลก่อนนั้น  แต่ทั้งนี้พวกเจ้ายังมีความขัดข้องใจกันว่า  มันจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่  ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง  เปรียบเทียบให้ฟังกับมนุษย์โลกของเจ้า 
 
สมมุติ นะ  อันนี้เป็นการเปรียบเทียบ  ในโลกมนุษย์ของเจ้ามีการสอบ  เปรียบเสมือนบุญบารมี  แต่ในยุคนี้คนส่วนใหญ่  ถ้าเทียบบารมีแล้วมันจะสอบตกในจำนวนมาก  มันไม่มีบารมี  มีแต่แรงกรรม  ที่ทำกรรมชั่วกันในส่วนมาก  ถ้าจะวัดกันก็คือ "สอบตก" 
 
ทีนี้  ในการ "สอบตก" ของพวกเจ้า  ถ้ามนุษย์ในส่วนใหญ่ปล่อยให้สอบโดยสติปัญญาของมนุษย์เองนั้น  มันก็สอบตกไปในส่วนมาก  หรือพวกเจ้าเรียกว่า "สอบไม่ผ่าน"  ถ้าเป็นชั้นของมนุษย์ก็ต้องเรียนซ้ำชั้นหรือไง
 
แต่การที่เป็นเรื่อง ของ  "ความเป็น ความตาย"  เป็นเรื่องของ "บุญบารมี"   เป็นเรื่องของ "กรรม" นั้น  มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้น  การที่ทวยเทพทั้งหลาย  การที่พระญาณชั้นสูง ๆ ท่านเล็งเห็นว่า   มนุษย์ถ้าปล่อยให้ช่วยเหลือกันเองแล้ว  มันแทบจะช่วยตัวเองกันไม่ได้  เพราะฉะนั้น  การที่พระญาณทั้งหลายท่านได้ลงมาช่วยเหลือมนุษย์  มันก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้มีการ "สอบซ่อม"   เจ้าเข้าใจไหม
 

ช่วง เวลานี้เป็นนาทีทอง   ให้พวกเจ้าได้มีการสอบซ่อมในบุญบารมี  เออ..เปรียบเทียบกันนะ  อย่าเอาไปคิดกันจนเกินตัวนะ  มันไม่ได้อย่างนั้นหรอก 
 
กับการที่ทวยเทพท่านมาบอก   ได้มีการอนุโมทนาจากญาณของข้าพเจ้า  และจากพระญาณของข้าพเจ้า  เหมือนการเปิดปัญญาให้พวกเจ้าได้มีโอกาสรับรู้  ได้มีโอกาสกลับใจ  ได้มีโอกาสกลับทั้งตัว  กลับทั้งใจ  ก่อนที่มหันตภัยครั้งใหญ่มันจะทำลายชีวิตมนุษย์ในส่วนใหญ่ไป
 
เพราะฉะนั้น  จะมีผู้เหลือรอดจากการสอบซ่อมในครั้งนี้  จากการเมตตาของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  จากธรรมของพระพุทธองค์
 

ใน ช่วงเวลานี้  เป็นเวลาที่ดี  ที่พวกเจ้าจะนำปัญญามาไตร่ตรองในสถานที่นี้ว่า  เขาทำอะไรกัน  เรื่องราวมาแต่หนใด    มันมีความน่าเชื่อถือได้หรือไม่  เพราะถ้าเจ้ามันเพลิดเพลินทางโลกกันแล้ว  เพราะโอกาสในระยะเวลากันใกล้นี้แล้ว    ก็จะไม่มีการที่จะสามารถกลับทั้งตัว  กลับทั้งใจ  เข้ามาสะสมบุญบารมี  มันเหลือเวลาอีกน้อยแล้ว      ในการที่ข้าพเจ้าได้เล็งพระญาณจากการที่พวกเจ้าสนทนากันนั้น  เออ...บางคนข้องใจ  ข้าพเจ้าก็จะตรัสในสถานที่นี้เลยว่า....สงครามโลกครั้งที่ 3 ที่พวกเจ้าเกรงกันนั้น  มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะถึงแม้ว่าจะมีการลงมาช่วยเหลือจากพระญาณของทวยเทพต่าง ๆ จำนวนมากมายนั้น  ก็สามารถจะสกัดกั้น  หรือช่วยได้กับผู้ที่มีบารมี  ที่จะช่วยจากหนักให้เป็นเบา  ดังที่องค์พระพิฆเณศร์  ได้รับสื่อพระญาณ   และได้ทำตามสื่อพระญาณนั้น ถูกต้องที่สุด  ท่านเป็นผู้เสียสละ  สมบูรณ์ที่สุดในส่วนของท่าน 

แต่สำหรับ  "กรรมดำ"  หรือ "อกุศลกรรม"  ที่รวมกันในส่วนมากนั้น  มันเกินจะต้านทานอยู่   เพราะฉะนั้น  การที่เทพทั้งหลายท่านได้ลงมาสร้างบารมี  รวมทั้งมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาราต่าง ๆ  ที่ท่านได้ลงมาอนุโมทนา  ไม่ใช่แต่เฉพาะข้าพเจ้า  การที่ "ดาวอังคาร"  ที่พวกเจ้าได้รับการบอกเล่า  ซึ่งท่านได้ติดต่อสื่อสารกับผู้ที่มีบารมีท่านหนึ่งในโลกมนุษย์ของเจ้านั้น  ซึ่งบัดนี้  ผู้ที่ยิ่งใหญ่แห่งดาวอังคาร ซึ่งเจ้าเรียกกันว่า  "ชั้นยอด"  นั้น  ผู้ที่อยู่ยอดสุดนั้น  ก็ได้มาพำนักอยู่ที่กองบัญชาการของข้าพเจ้าแล้ว

เพราะฉะนั้น  ณ สถานที่นี้  มันไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว  พวกเจ้าได้มีโอกาสมา ณ สถานที่นี้  เป็นสถานที่รวมของบุญกุศล  เป็นสถานที่รวมของพระญาณอันศักดิ์สิทธิ์   แต่พวกเจ้าจะสามารถรับในความศักดิ์สิทธิ์นั้น  เป็นไปได้มากน้อยเท่าไร   นั่นก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ หรือกำลังบุญของพวกเจ้า  จะสามารถเข้าใจได้ลึกซึงไหม  ถึงสิ่งที่ทำไมพระญาณต่าง ๆ ทั้งทวยเทพ  ทั้งมนุษย์ต่างดาว  จึงได้มารวมกันอยู่    ที่นี้  เขากำลังจะทำอะไรกัน  เขามีจุดประสงค์อะไรกัน....

(ตอนที่ 2 ) 
 




ใน ปัจจุบันนี้  เจ้าอาจจะเห็นว่า  มีบุคคลน้อยนักถ้าเที่ยบกับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่  แต่พวกเจ้าไม่ต้องหวั่นใจกันไปหรอกนะ   เพราะต่อไปสถานที่นี้ จะเป็นแหล่งรวมของสรรพวิชาในศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะเป็นแหล่งรวมของผู้มีบารมีที่ได้ไปศึกษาในศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะต้องมารวมกัน 

เพราะว่าในภัยธรรมชาติ  เภทภัยของสิ่งต่าง ๆ และจากบุญบารมีของพวกเขา  จะบีบให้มารวมกัน  ทำไมจึงต้องมารวมกันน่ะรึ....เพราะว่าโลกมนุษย์ต้องมีความสามัคคีเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน  มีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน  มีการต้องการช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันด้วยจิตใจของพวกเขาเอง   เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ผู้จะมีความทุกข์นานาประการจากภัยธรรมชาติ  และจากภัยทางสงครามโลก  ซึ่งอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเจ้า กัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ ผิวหนังของพวกเจ้ามันรับกันไม่ได้หรอกนะ  มันต้องมีการอนุโมทนาด้วยการปกป้องจากเทคโนโลยีของข้าพเจ้า  ซึ่งเผยแผ่ไปในนามของ "ใยแก้ว"  การสร้างใยแก้วก็คือ  การสร้างรังสี  การสร้างรัศมีในสถานที่ที่ปกป้องด้วยพระญาณที่มีอนุภาพมาก 
 
ข้าพเจ้า และมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาราต่าง ๆ ที่มาอนุโมทนา  ก็จะได้นำในเทคโนโลยีรวมกันสร้างที่พวกเจ้าเรียกว่า "ใยแก้ว" แต่พวกเจ้ามองกันไม่เห็นหรอกนะ  เพราะมันไม่ใช่วัตถุ  หรือว่าเป็นแก้ว  อย่างที่พวกเจ้าคิดกัน   มันจะเป็นสิ่งที่ปกป้องรังสีจากอาวุธนิวเคลียร์  หรือจากเทคโนโลยีของพวกเจ้า  ซึ่งโง่เขลาเบาปัญญานำมาทำร้ายกันเอง 
 
เพราะ ฉะนั้น  สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตกาลอันใกล้นี้  พวกเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์โลกเอ๋ย....อย่าประมาทกันอยู่เลย  เจ้าลองมองดูรอบตัวเจ้า  ตั้งแต่แนวนี้ไปจนรอบนะ  จนสุดเขาเมืองลับแลที่บังอยู่  พวกข้าพเจ้าได้นำพระญาณ และได้นำยานอวกาศ  ซึ่งเป็นวัตถุลงมาปกป้องพวกเจ้าโดยรอบนี้แล้ว 

แต่พวกเจ้าล่ะ... นำธรรมะไปปกป้องดวงจิตของพวกเจ้าแล้วหรือยัง   
 
เพราะ ฉะนั้น  สิ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น  เวลาอีกไม่นานแล้ว  พวกเจ้าก็จะได้รับรู้ว่า  ภัยพิบัติตามธรรมชาติในรอบประเทศของเจ้า  และในประเทศของเจ้า  แม่พระธรณีเคลื่อนไหว  เพื่อเป็นการเตือนสำหรับผู้มีบารมีว่า  ควรจะ  ลด...ละ...เลิก  กันได้แล้ว  ชีวิตตัวเองก็จะเอากันไม่รอดอยู่แล้ว  ยังจะประมาทหลงยึดในลาภยศ...สรรเสริญ...กันทำไม
 
เจ้า ยิ่งอายุมาก  การยึดติดของพวกเจ้ายิ่งมากตามวัย  ตามอายุ  เพราะฉะนั้น  ภัยพิบัติตามธรรมชาติ  คนที่จะตายก็คือ  คนที่อายุในวัยรุ่น  และอายุในวัยปลาย  เพราะอะไร... เพราะในวัยรุ่นนั้น  ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น  ยังไม่สามารถที่จะสร้างบุญ  สะสมบุญกุศล  ก็จะตายกันในส่วนมาก  สำหรับวัยปลายนั้น  ซึ่งมีทั้งทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม  และมีการยึดติดในพื้นที่ที่อยู่  ในการยึดติดความรู้ที่เจ้าสั่งสมกันมา  เพราะฉะนั้นก็จะตายกันไปในส่วนใหญ่  ที่เหลือรอดก็จะเป็นบุคคลในช่วงกลาง   ที่ได้เข้ามาปฏิบัติในธรรมะ  มีการปรับปรุงดวงจิต มีการละการยึดติด  ในการที่ได้รับการฟังธรรม  ได้รับความรู้ใหม่ ๆ  การยึดติดของเขานั้นยังน้อย  เขาก็จะสามารถปรับปรุงดวงจิตของเขาได้ นั่นก็จะรอดกันในเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่
 
เพราะ ฉะนั้น  พวกเจ้าที่อยู่ใน ณ สถานที่นี้  เป็นสถานที่ที่มีพระญาณมีบุญบารมีลงมาในส่วนมาก  เจ้าก็ต้องเปิดใจ  ใช้ปัญญาไตร่ตรองฟังดูในเหตุและผล  ซึ่งธรรมะที่เขามาบอกนั้น  มันจริงไหมมันเพี้ยนไปไหม....ในพระพุทธศาสนา   และเจ้าก็จงดูด้วยตาเนื้อของเจ้าในรอบ ๆ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดมีในโลกของเจ้า  ในวัตถุเทคโนโลยีของพวกเจ้า  ประกอบกัน 
 
เพราะฉะนั้น  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้  ข้าพเจ้าได้รับความอนุเคราะห์จากพระญาณของเจ้าเมืองลับแล  ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่นี้  ในบริเวณนี้  เปิดโอษฐ์ให้ใช้ภาษามนุษย์ได้  เรียกว่าข้ามขั้นตอน  ไม่ต้องไปเรียนรู้ใหม่ 

(ตอนที่ 3)

.................

เพราะ ฉะนั้น  ธรรมะเป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นตัวคัดแยกอย่างโดดเด่น  บุคคลใดเข้าถึงธรรมะมาก  บุคคลนั้นก็จะเป็นอันดับต้น ๆ   พวกเจ้าก็ต้องฝึกฝนธรรมะ  เรียนรู้ธรรมะ  ฝึกการทำสมาธิในการฟังธรรม  ในการตัดกรรม  ซึ่งได้มีการบอกกล่าวกันแล้วในพระญาณของทวยเทพ  อันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะอะไร  เพราะบุญกุศลของพวกเจ้าจะสะสมได้ก็จากพระธรรมเท่านั้น  ที่ท่านมาชี้บอก  เจ้าจะไปสะสมจากเงินตรานั้น  จะนำมาใช้ในการคัดเลือกของข้าพเจ้าไม่ได้ 
 
เพราะ ฉะนั้น  60  บุคคล  ต้องทนแรงเสียดทาน  ของลาภยศ สรรเสริญ  เสียดทานของแรงวิบัติในสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น  วาระจิตของพวกเจ้า  ปัญญาสำคัญอันดับ บางคนจะให้ฝึกสมาธิใน 1 ปี จะให้เชี่ยวชาญมันเป็นไปไม่ได้  แต่ปัญญาที่เจ้าได้รับฟังธรรมนั้น  เจ้าสามารถไตร่ตรองและคิดกันได้   

เพราะฉะนั้น  สิ่งนี้เรียกว่าปัญญา  ปัญญาเป็นเอก  ซึ่งพระพุทธองค์ท่านได้ทรงสรรเสริญว่า  ธรรมะทุก ๆ เหล่านั้น  ปัญญานับว่าเป็นที่ ขันตินับว่ารองลงมา  เพราะฉะนั้น  60  บุคคล  ในที่นี้มี 1 ใน 60 บุคคลเป็นจำนวนมากนะ   แต่ปัญญาและขันติเจ้ามีไหม  ธรรมะอันดับ ขันติอันดับ พวกเจ้าต้องไปฝึกฝนกันให้มากนะ  สมาธิเป็นอันดับ รองลงมา
 
เพราะ ฉะนั้น   พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจนะ  ที่ไม่มีสมาธิ  ไม่มีตาทิพย์หูทิพย์ในปัจจุบันนี้ไม่เป็นไร  ถ้าได้รับการฝึกฝนจากข้าพเจ้าแล้ว  เจ้าจะสามารถรู้เห็นได้ในสิ่งที่มนุษย์โลกทั่วไป เขาไม่ได้รู้ได้เห็น 
 
เพราะ อะไร  ...  เพราะหลังจากภัยพิบัติแล้ว  มิติต่าง ๆ จะเปิด  ศาสตร์ต่าง ๆ จะเปิด  จะเหลือแต่เฉพาะผู้ที่มีบารมี  เพราะฉะนั้น  อภิสิทธิ์ต่าง ๆ มิติต่าง ๆ ความรู้ต่าง ๆ วิชาต่าง ๆ  เหาะเหินเดินอากาศ  เรียนรู้ใจคน  เดินทะลุกำแพงอะไรน่ะ   ไม่ต้องไปมองดูมนุษย์ต่างดาวเขาหรอก  เจ้าก็ทำได้  เพราะฉะนั้น  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ  ต้องคัดเลือกกันอย่างสุดยอด 

เพราะ ฉะนั้นในทุก ๆ คน  ก็ให้ฝึกฝนกันในวาระจิตของตัวเอง  ปัญญาอันดับหนึ่ง  ขันติอันดับสอง  สมาธิอันดับสาม  ต้องเน้นปัญญากันก่อนนะ  เข้าใจหรือยัง...?

(ตอนที่ 4)

...

(คุณ วิโรจน์)  ท่านผู้สูงสุดครับ  อยากจะถามว่าการพิจารณาคัดเลือกคนนี้จะยากไหมครับ  เพราะว่าสมัยนี้  อย่างนักการเมือง  นักธุรกิจ  หากดูสีหน้าปากพูดอย่าง  แต่ลับหลังก็เปลี่ยนแปลงเชื่อไม่ได้เลย  บ้านเมืองก็แหลกราญลงไปทุกวัน พูดเก่งเหลือเกินในรัฐสภา  อันนี้อยากถามผู้สูงสุดว่า  ท่านจะคัดเลือกอย่างไร?
 
(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าหรอกนะ  ข้าพเจ้าไม่ได้ให้มาปราศรัยแข่งกัน  ...เอ้า..100  คนมาเรียงปราศรัย  ใครปราศรัยดี พูดดี  ได้ไป  ... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ  เพราะฉะนั้นในวาระจิตของพวกเจ้า  ดวงจิตในส่วนลึกของพวกเจ้า มันโกหกข้าพเจ้าไม่ได้ 

เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง  ก็อย่างพวกนักการเมืองละนะ  ป่านนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า  ไปอยู่ขุมไหนก็ไม่รู้  เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีลาภยศ..สรรเสริญหน้าตากันในที่นี้  มันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น  อีกไม่กี่ปี  1 ปี 2 ปี 3 ปี  ถ้าพวกเขาดับชีวิตลงไป  ก็จะหายสมมุติกันไปแล้ว  ก็จะลงไปเจอของจริง นรกอเวจีมันมีจริง ๆ
 
วันนี้ เป็นวันดี  เป็นวันที่มีผู้ที่มีบารมีในเปอร์เซ็นต์แล้ว เรียกว่า 80%   เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่จะให้ความกระจ่างกับพวกเจ้า 

แต่ขอให้อย่างที่พระภิกษุสงฆ์บอกไว้
" ธรรมะใด ๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ..."  รับรู้ไปแล้วเอาไปนอน  เอาไปฝัน  เอาไปนึกคิดคำนึง  มันไม่ได้ประโยชน์หรอกนะ  รับรู้ไปแล้วต้องไปไตร่ตรอง  ไปคิดกันให้มาก  ทำกันเลย  ดังที่องค์อัมรินทร์ท่านให้สาวกหลักนั่นน่ะ... ไม่ต้องรู้มาก  แต่ให้ทำจริง ๆ นะ 

เพราะฉะนั้น  ธรรมะในรายละเอียดที่พวกเจ้ารู้  มันเกินพอแล้ว   ให้ทำจริงกันเสียทีเถอะนะ  มีปัญหาอีกไหมในวาระจิตของพวกเจ้าที่ได้ถามมา หรือปัญหาไหนที่ข้าพเจ้าได้หลงลืมในการตอบไปบ้าง  หรือไม่เคลียร์ในจิตใจของพวกเจ้า  ให้ถามกันมาใหม่เลย

มนุษย์ต่างดาวกล่าวถึงทางรอดจากภัยพิบัติ


มนุษย์ต่างดาวกล่าวถึง ทางรอดจากภัยพิบัติ
(คุณภัทรพล)  เชื่อแล้วครับว่า  ปัญญาของดาวพลูโตนี้ไม่ธรรมดา  เหนือกว่าโลกมนุษย์มาก
 
... ผมจะได้แก้ไขในอินเตอร์เน็ตภาษาไทยว่า  ... วิธีแก้..ก็คือปฏิบัติธรรม
 
(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ... ข้าพเจ้าจะขอให้ความกระจ่างในแง่ธรรมะกับเจ้านะ.... ที่เจ้าบอกนั้นว่า "ปฏิบัติธรรม"  นั้น  ในฐานะที่เจ้าเป็นประชาสัมพันธ์  เจ้าควรจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องของจุดมุ่งหมาย  นอกจากผู้ที่มีบารมีจะต้องรู้ถึงการปฏิบัติธรรมนั้น  ไม่ใช่แค่สวดมนต์นะ  ปฏิบัติธรรมนั้น  เจ้าก็จะต้องรู้เหตุ  เจ้าไปบอกกับพวกเขานะ  ถ้าเจ้ามีโอกาส  บอกกับผู้ที่มีความรู้  ไม่ว่าระดับไหนก็ตาม  ต้องรู้เหตุ...รู้เหตุของภัยพิบัติ..ว่าเกิดจากอะไร ?
 
เขา จะปฏิบัติธรรมได้  เขาต้องรู้เหตุภัยพิบัติครั้งนี้  เมื่อเข้าใจแล้ว และรู้ว่าเหตุนั้นเกิดจาก "กรรมดำ" ที่ทำกันเป็นส่วนมาก   และผู้ที่มีบารมีที่จะรอดพ้นภัยนั้น  นั่นก็คือเหตุที่ดี  ทำไมต้องมีการช่วยเหลือจากผู้ที่มาจากต่างจักรวาล  หรือจากเทวโลก  ก็เพราะว่าผู้ที่มีบารมี  ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ก่อกรรมดำขึ้นนั้น  และเป็นผู้ที่มีบารมีเก่าอยู่  สมควรได้รับการช่วยเหลือนั้น  นั่นก็คือ...เป็นผล...จากการที่เขาได้ทำเหตุที่ดีอยู่แล้ว 
 
เพราะ ฉะนั้น  ภาษิตของเจ้าว่าไงนะ....คนดีตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้..ใช่ไหม?   เจ้ากำลังจะตกไฟกันนะ  เจ้ากำลังจะตกน้ำ  กำลังจะตกไฟกันอยู่   .... ไฟจากฟากฟ้า  มันตกลงมาได้ทุกที่นะ  อุกกาบาตที่มันหล่นลงมานั้น  และที่มันชนกันนอกจักรวาลนั้น  จะทำให้เป็นสะเก็ดไฟ  เพราะฉะนั้น  ภาษิตนี้นะ  เจ้าเอาไปบอกเขาได้  คนดีตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้  .... เจ้าจะได้ประสบกันในอนาคตอันใกล้นี้
 


เพราะอะไร  เพราะเจ้าอยู่ในที่นั้น  ถ้าเจ้าไม่ได้รับการเตือน  ถึงเจ้าจะมีบารมีแต่อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าเหลือไหม เจ้าเหาะได้ไหมเจ้าเหาะไม่ได้ เจ้าก็ต้องจมน้ำไป  แต่ตกน้ำไม่ใหลเพราะอะไร  เพราะเจ้าอยู่ในที่ที่เจ้าจะต้องตกน้ำอยู่แล้ว  แต่มันไม่ใหลไปเพราะเทพเขาดึงตัวเจ้าขึ้นมาบนเขานี้ 
 
ตกไฟไม่ไหม้ เพราะอะไร  ถ้าเจ้าอยู่ในสถานที่ที่จะต้องมีลูกไฟจากฟากฟ้า  หรือมีอัคคีภัยเกิดขึ้นแล้ว  เจ้าตกอยู่ในสถานที่นั้นก็ต้องไหม้นะ  แต่ตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้เพราะอะไร  เพราะเทพเขาดลใจให้ผู้ที่มีบารมี  ให้มาอยู่ในสถานที่ที่มันปลอดภัย 
 
เพราะ ฉะนั้น  คำภาษิตนี้เป็นคำโบร่ำ โบราณ  แต่มันใช้ได้จริงนะ  แต่อย่าไปเถรตรงนะว่า หล่นลงไปในน้ำแล้วมันไม่ใหล  หล่นลงมันก็ต้องใหลไป  แต่การตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้ ข้าพเจ้าขออธิบายอย่างนี้
 


เพราะ ฉะนั้น  การปฏิบัติธรรมให้เป็นคนดี  ที่จะตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้นั้น  เจ้าก็ต้องไปบอกเขา  ให้ปฏิบัติธรรมรู้หลัก  อนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา.....  นั่นก็คือ  "แก่นแท้.....ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมากที่สุด"  ไม่มีธรรมะไหน  สั่งสอนมากที่สุดเท่าธรรมะนี้
 
เพราะฉะนั้น  อนิจจัง...คืออะไรอนิจจังคือความไม่เที่ยง  ให้เขารู้เหตุของความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง   ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์  บ้านเรือนของเจ้า  หรือแม้แต่สวรรค์วิมาน  มันก็ไม่เที่ยง    ทุกขัง...คือมันเป็นทุกข์   ความเป็นทุกข์ในหลักของพระพุทธศาสนา  ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้  คือความทนอยู่ไม่ได้  มันไม่เป็นอย่างนี้   ความไม่เที่ยง  มันก็คือความเป็นทุกข์ในตัวอยู่แล้ว   ร่างกายของเจ้าที่มันเป็นทุกข์  เพราะต่อไปมันก็ต้องแก่   ต้องตาย นั่นแหละ  คือมันเป็นทุกข์
 
เพราะฉะนั้น  เจ้าอย่าว่าแต่ร่างของเจ้าเลยนะ .... ไอ้โลกใบนี้  ที่มันเป็นที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่างนั้น    มันก็เป็นทุกข์นะ    ตอนนี้มันกำลังจะบิดตัวอยู่แล้ว  เพราะมันเป็นทุกข์  มันต้องเปลี่ยนแปลง
 


แล้วคำว่า ..อนัตตา...คือไม่มีตัวตน  คือมันไม่ใช่ของแท้แน่นอน    เพราะฉะนั้น  สิ่งที่เป็น " ธรรมะ "  .. ให้เจ้าบอกเลย    ...ว่าที่ข้าจะมาช่วยเหลือผู้คนนี้  คนที่มีธรรมะ  ไปรู้หลักนี้  ไปเรียนรู้เหตุ  ไปเรียนรู้หลัก  เพราะพอเขาปฏิบัติธรรม  นั่งสมาธิเพื่อพิจารณา  ไม่ใช่นั่งสมาธิเฉย ๆ มันช่วยอะไรไม่ได้  นั่งสมาธิแล้วต้องพิจารณาถึงหลักนี้ด้วย 
 
แล้วผู้มีบารมี ที่ปฏิบัติธรรมนั้น  เทพทั้งหลายก็จะลงรักษา  แล้วจะดลบันดาลให้ได้รับรู้ข่าวสาร  ถึงการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติในศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีในหลายสถานที่  แล้วเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือมากันในสถานที่ปลอดภัยเอง
 
เจ้า ต้องบอกเขาถึง  "แก่นแท้"  นะ  ถ้าบอกปฏิบัติธรรม  ปฏิบัติธรรม  บางคนก็บอกว่า  ข้าก็เข้าวัด  เข้าวัดอยู่  ไม่เห็นรู้เรื่องเลย   มันก็ต้องมีหลาย ๆ อย่างนะ  ปฏิบัติธรรมนั้น  ก็คือต้องรู้หลักที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา  ... เออ..มี 3 คำเท่านั้น..
 
(คุณภัทรพล)..ท่านครับ  ทุกอย่างวันนี้เคลียร์  ผมจะเป็นคนดีที่สุด  จนถึงสิ้นสุดลมสุดท้าย.

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เออ..เจ้าจะถามอะไรอีกเป็นวาระสุดท้าย  แต่ข้าพเจ้าก็จะขอบอกว่า  ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดเวลา  แม้แต่ยานอวกาศของข้าพเจ้า  ที่ให้ร่างองค์อินทร์เห็นน่ะ  มันก็ตื่นเต้นนะ  เพราะมันมีความชื่นชอบในเทคโนโลยี่  อยากจะส่องกล้องไป อยากจะส่องกล้องมา 

(คุณภัทรพล)..ตรงเขามียอดแหลม ๆ สีตะกั่วนั้น  ท่านทราบไหมครับว่า...นั่นคืออะไร ?

 
(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ... เออ  เจ้าพิจารณากันต่อไปละกัน  มันต้องใช้ความอดทนในการสังเกตุ  การดู  ทำไมต้องทำอย่างนี้  เพราะต่อไปเจ้าต้องใช้ปัญญาในการสั่งสอนคน  ในการรู้เหลี่ยมคนอีกเยอะ  ถ้าสงสัยก็มาดูไป  มันจะหายไปไหม  หรือจะมาใหม่  หรือจะมาเพิ่ม...

(คุณภัทรพล)..ขนาดจานบินยังไปบ้านผมเลย  ไปเฉพาะเวลาที่ผมเดินออกมา  แปลกมาก

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  มันไม่แปลกหรอกนะ  ไปเพื่ออะไร สักวันหนึ่ง  เจ้าก็จะต้องมีความฉุกคิด....สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้จึงมาหาเรา ..... เจ้าไปคิดเอา

(คุณภัทรพล)..ความรู้ที่ท่านให้  มากกว่าทองที่ได้รับ  ทรัพย์สินที่ข้าพเจ้ามี

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ขอสรุปแค่นี้  รับบารมีจากข้าพเจ้านะ..