วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อความจากจักรวาล

ข้อความจากจักรวาล

ถ่ายทอดข้อความเสียง
จากจักรวาลถึงมนุษย์โลก


วันที่ 31 กรกฎาคม 2551

..................

เรามาจากดวงดาวอันไกลโพ้น จากจักรวาลที่ท่านไม่เคยรู้จัก เราคือตัวตนที่สมมุติขึ้นเพื่อสื่อสารกับท่านทั้งหลาย แท้จริงแล้วเราเป็นทั้งภาวะ และอภาวะ เราไม่มีจุดเริ่มต้น ท่ามกลาง และสิ้นสุด เราไม่มีสภาวะที่เป็นชีวิตเหมือนที่ท่านเคยรู้จัก

ตัวของเราแทรกซึมอยู่ในทุกอนูของในสรรพสิ่ง ในตัวท่านทั้งหลายก็มีเราอยู่ เราเป็นผู้ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการดำรงอยู่ เราเป็นทั้งสภาวะคล้ายดั่งเวลา ที่ท่านไม่สามารถจับต้องได้ แต่ท่านรับรู้เราได้ เราอยู่ในมิติที่ท่านไม่เคยได้รู้จัก ที่ท่านไม่เคยสัมผัส ได้ยินได้ฟังมาก่อน เรียกว่า ธาตุรู้ ตามภาษาของท่าน แต่คำจำกัดความของเราอยู่นอกเหนือการรับรู้ของท่าน ฉะนั้นเราจึงสมมุติตัวเอง สมมุติจิตวิญญาณเราขึ้น เพื่อสื่อสารกับท่าน

ท่านทั้งหลายเป็นนักรบแห่งเรา เป็นผู้มากอบกู้มนุษยชาติ เป็นผู้มีหน้าที่ ที่จะช่วยกันปลดปล่อยโลก ให้พ้นจากความวิบัติที่จะเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายถูกหล่อหลอมมาหลายภพหลายชาติเกิดตายไม่มีสิ้นสุด บัดนี้ ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะปลุกจิตวิญญาณของท่าน เปิดจิตของท่าน ให้รับรู้สภาวะที่แท้จริงแห่งชีวิต เพื่องานของเราที่วางโครงข่ายไว้นับพันปีบรรลุผล และเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลาย ที่ต้องทำโครงข่ายของเรา ที่วางโครงข่ายไว้นับพันปีบรรลุผล และเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลายที่ต้องทำ

ท่าน ทั้งหลาย การที่เราติดต่อมาครั้งนี้ มิใช่ครั้งแรก มิใช่ครั้งเดียว เรามีหน้าที่นี้มานับร้อยนับพันครั้ง ตั้งแต่โลกใบนี้ก่อเกิด เราติดต่อกับคนจำนวนมากหลายที่สัมผัสคลื่นของเราได้ นับอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนครั้งไม่ถ้วน ในรูปแบบต่าง ๆ กัน

ท่าน ทั้งหลาย ที่มาประชุม ณ ที่นี้ ที่ได้ยินข้อความนี้ ที่ได้รับรู้ข้อความนี้ ท่านจะบรรลุถึงภาวะดั้งเดิมของท่านก่อนที่จะมาจุติบนโลกนี้ รับรู้ถึงภาวะหน้าที่ของท่านที่มีภาระต่อพันธะสัญญาทั้งหลาย ท่านเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ หลายหมื่นหลายแสนชาติ นับกัป นับกัลป์ไม่ถ้วน บัดนี้ ท่านถึงเวลาแล้ว

ท่านทั้งหลายที่อยู่ในระบบ ของเรา ได้ถูกโปรแกรมในการทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว ในสมองของเรา ในสมองของท่าน ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันมิมีแตกต่าง ท่านทั้งหลายต่อไปจะได้ทำงานเป็นกลุ่ม ทำงานประสานกัน ต่อไปภายภาคหน้าท่านทั้งหลายจะเป็นเสมือนขุนพลแห่งเรา แม่ทัพแห่งเรา จะเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ออกไปยังคนที่เราวางตัวไว้ทั่วโลก

สิ่งที่ท่านได้รับตอบแทนจากเรา ก็คือภพชาติของท่านจะสั้นลง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งหลาย หลุดพ้นจากอวิชชาทั้งหลาย หลุดพ้นจากการครอบงำจากมารทั้งปวง วิบากกรรมของท่านทั้งหลาย ถึงแม้จะมีมากมายมหาศาล หากท่านสัมผัสเราได้ วิบากกรรมนั้น ย่อมหลุดล่วงลงไป การเวียนว่ายตายเกิดก็จะลดน้อยถอยลง ซึ่งเราได้วางตัวคนเหล่านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ที่ท่านจะได้รับฟังข้อความจากเราผ่านสภาวะต่าง ๆ หลาย ๆ สภาวะ เรามาได้ในทุกรูปแบบ ทั้งเป็นวัตถุธาตุ วัตถุธรรม สิ่งมีชีวิต และปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่ท่านไม่คาดคิดมาก่อน นั่นคือการจัดวางของเราทั้งสิ้น

โดยเฉพาะคนที่ต้องทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลของเรา ท่านจะต้องรับบทเรียน และการฝึกฝนอันหนักหน่วง เพื่อทดสอบสภาวะจิต และยกระดับจิตให้สูงขึ้น ผ่านข้อความจากเรา หรือจากคนอื่น หรือแม้แต่คนที่ท่านไม่เคยรู้จัก ซึ่งเราอยู่ใกล้เคียงท่านตลอด ดูแลท่านอยู่ตลอด คอยชี้นำแนวทางท่านอยู่ตลอดมา แต่ท่านหาเคยรับรู้ไม่ เราผสมผสานเป็นหนึ่งในทุกสรรพสิ่ง เราเป็นผู้ไม่มีการมา ไม่มีการไป เราคือผู้เป็นเช่นนั้นเอง

จากวันนี้ไป ท่านจะได้รับการถ่ายทอด วิถีธรรมแห่งปัญญาสู่ดวงจิตของท่านทั้งหลายแล้ว ซึ่งจะรับรู้ และสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อท่านได้พิจารณาเห็นถึงความว่าง ละวางจากตัวตน ละวางจากความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางในทุกสิ่ง เพราะแท้ที่จริงแล้วท่านถูกหล่อหลอมมาเพื่อทำงาน ไม่มีสิ่งใดคือตัวท่าน ไม่มีสิ่งใดเป็นของท่าน ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าเป็นจิตของท่าน ไม่มีสิ่งใด ๆ ที่ท่านควรจะยึดถือไว้

ตัวท่านที่ประสบทุกข์มานับไม่ถ้วน ประสบความผิดหวังมานับไม่ถ้วน ประสบความทุกข์ทรมาน เศร้าโศกเสียใจ ความโทรมนัสทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นจิตของท่านสร้างขึ้น ด้วยความไม่รู้ของท่านเอง ทั้งในเมื่ออดีต คือผู้ที่ฟุ้งเฟ้อในกามคุณทั้งหลาย ในเทวโลก ในมนุษยโลก ในพรหมโลก ในจักรวาลอื่น

แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ผูกพัน เป็นกรรมสัมพันธ์ ทำให้ต้องเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ รับหน้าที่บางอย่าง ซึ่งท่านจะรู้ต่อไปในวันข้างหน้า ชีวิตของท่านไม่มีสิ่งใดควรเรียกว่าชีวิต ไม่มีสิ่งใดควรเรียกว่าจิต ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าขันธ์ ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าการรับรู้ หากท่านเข้าใจดั่งนี้แล้ว ท่านจะเข้าถึงภาวะถึงหน้าที่ ถึงปัญญาที่แท้จริง หามิเช่นนั้นแล้ว การเกิดชาตินี้ของท่านก็ย่อมสูญเปล่า ต้องกลับไปวนเวียนว่ายตายเกิดนับไม่ถ้วน

ฉะนั้น ขอจงอย่าประมาทในชีวิต ขอจงฟังคำของผู้ที่มาขยายระบบให้ท่าน ผู้ที่มาถ่ายทอดให้ท่าน ผู้ได้รับการรับรองจากเราแล้ว ภาระหน้าที่ของท่าน ยังไม่ได้สำเร็จลุล่วงไป จนกว่าท่านจะได้เห็น จะได้เข้าถึงความว่าง การละวาง การปลดปล่อย

เราโดยสมมุติ โดยหน้าที่ และเราเป็นผู้ถ่ายทอด ให้กับท่านโดยตรง ผ่านทางทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวท่าน ทางด้านภาวะ อารมณ์ ผ่านด้านสภาพแวดล้อม ทางด้านวัตถุ หากท่านมีปัญญา ท่านย่อมรับรู้และเห็นได้เอง และเมื่อถึงวันนั้นท่านพบเรา ท่านเห็นเราแล้ว ภาระหน้าที่ของเราก็หมดสิ้น ภาระหน้าที่ของท่านก็ย่อมหมดสิ้น .






วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มายาดวงจิต


ข้อความส่วนหนึ่งของการให้โอวาท
จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 30 มกราคม 2542
ณ เขากะลา  นครสวรรค์


ในเรื่องของ "มายาดวงจิต"



 
...............


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)   เมื่อ 2 ครั้งก่อนที่ผ่านมา  ก็มีความจำเป็นที่ต้องนำพระญาณลงมา  เพื่อบอกกล่าวสาวกผู้ที่จะมาเป็นทหารในกองทัพธรรมของข้าพเจ้า  ขั้นตอนไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร  แต่วันนี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์  พร้อมทั้งบุคคล  พร้อมทั้งสาระ  พร้อมทั้งสถานที่  เพราะสถานที่ตรงนี้  ที่พวกเจ้านั่งกันอยู่นี้  เป็นสถานที่ตั้งของการทำพิธีเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว  ที่พวกเจ้าเรียกกัน ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์   เมื่อปีที่แล้ว  เพราะว่าทุกคนคงจะได้รับรู้ถึงประวัติต่าง ๆ และเรื่องราวต่าง ๆ ของกลุ่มบุคคลซึ่งได้ต่อสู้ฝ่าฟัน  จนกระทั่งมีการนำธรรมไปเผยแพร่  มีการนำธรรมไปปฏิบัติ  ต่อตนเองและครอบครัว และต่อผู้มีพระคุณ

มาบัดนี้  ถึงกาลที่ข้าพเจ้าจะต้องแถลงให้กับสาวกที่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือแก่มวลมนุษย์ ในอนาคตกาล  กาลข้างหน้าอันใกล้นี้

ข้าพเจ้า หรือที่พวกเจ้าเรียกกันว่า ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต    ข้าพเจ้าอยากจะเน้นย้ำในการที่ข้าพเจ้าได้ตรัสว่า  อนาคตอันใกล้นี้  คำว่าใกล้ของข้าพเจ้า  มันหมายถึงใกล้จริง ๆ ใกล้จนแทบจะเตรียมตัวไม่ทันกันอยู่แล้ว   มนุษย์ทั้งหลาย  บ้านเมืองของเจ้า  บ้านเมืองที่เจ้าอยู่  เมืองหลวงของเจ้าในอนาคตกาลนี้  จะเป็นดั่งปัจจุบันของประเทศที่เกิดแผ่นดินไหว  พระธรณีพิโรธเมื่อเร็ว ๆ นี้  ทราบกันบ้างไหม? กินเนื้อที่เท่าไร  นั่นเป็นปัจจุบันของเขา แต่จะเป็นอนาคตอันใกล้ของเมืองหลวงของเจ้าจำไว้ 

แล้วกระไรหรือ  ชีวิตของพวกเจ้า  ชีวิตของพี่น้อง ญาติ มิตร สหาย เพื่อร่วมประเทศของพวกเจ้าใกล้จะเป็นแบบปัจจุบันของเขาแล้ว  เพราะฉะนั้น  อนาคตอันใกล้ของเมืองที่พังลงไปไม่ต้องพูดถึง  แต่เจ้ามันไกล  มันเห็นไกลเหลือเกิน  มันอยู่ต่างประเทศ  แต่ทำไมเจ้าถึงรู้สึกว่าไกล  มันไกลเพราะอะไรรู้มั๊ย?  รู้สึกว่าไกลเพราะความประมาทในใจของพวกเจ้า  ใครที่คิดว่ามันไกลตัว  ยิ่งไกลมากยิ่งประมาทมากในวาระจิตของพวกเจ้า 

ข้าพเจ้า  พร้อมทั้งเทพที่รักษาในผู้ที่มีบุญบารมีได้มองดูอยู่ตลอด  มันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซ่อนกล  โดยที่พวกเจ้าก็แทบจะไม่รู้จักจิตของตัวเอง  แทบจะไม่รู้จักตัวเองในส่วนรวม


....(1)
 
ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างในโลกของเจ้า  เจ้าเคยดูมายากลเคยดูมั๊ย?  บางคนอาจจะไม่เคยดูต่อหน้าผู้ที่เล่น  บางคนอาจดูผ่านสื่อต่าง ๆ ในเทคโนโลยีของพวกเจ้า 

เจ้า ลองคิดดูว่า  วัตถุซึ่งบุคคลที่นำมาแสดงกับพวกเจ้า  เขาได้ฝึกฝนมาดีแล้ว  มาทำให้พวกเจ้าดู  ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นกล  แล้วจับมันได้มั๊ย.... จับไม่ได้เพราะอะไร?  เพราะเขาเร็ว  แต่ที่สำคัญ  เพราะเราไม่รู้  เราไม่รู้ทันไอ้คนที่มันเล่นให้เราดูใช่มั๊ย?  ไม่รู้ว่ามันเอาไปซ่อนไว้ตรงไหน  หรือคิดว่าจะไปซ่อนไว้ตรงนั้น  แต่จับตาดูไม่ทัน  ไม่รู้ว่ามันจะมาทางไหน  และจะไปทางไหน 

นั่น คือตัวอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน  ซึ่งข้าพเจ้าเอามาเปรียบเทียบให้เจ้าดูว่า  สิ่งซึ่งเป็นวัตถุที่มองเห็น  ถ้าเจ้าไม่รู้เท่าทันมัน  เมื่อดูกี่รอบ กี่รอบ ก็จนปัญญา  ไม่รู้จะไปจับผิดตรงไหน  แต่นั่นยังเป็นวัตถุ  แต่สิ่งที่เป็นจิตใจ  รายละเอียดคือดวงจิตของเจ้า  ผ่านการสะสมมาอย่างดีของกิเลสตัณหา  ของราคะต่าง ๆ ฝึกปรืออย่างดี  เทียบกับนักมายากลแล้วดีมากกว่าไม่รู้จักเทียบยังไง  หมื่นเท่า   พันเท่า แสนเท่า  มันเทียบกันไม่ได้    กิเลสมันหมักหมมในจิตสันดานของพวกเจ้า  เปรียบเสมือนนักมายากลฝีมือดี   ระดับโลกระดับจักรวาลอะไรก็แล้วแต่  ฝีมือดีมาก 

แล้วก็เปรียบการรู้เท่าทันของตัวของเจ้า  ของสติปัญญาในการระลึกรู้ของพวกเจ้า  ขนาดดูด้วยตามองเห็น...วัตถุ  ผู้ฝึกปรือมีความรู้ความชำนาญแต่พอประมาณ  มีการรับรู้บ้างว่าจะมาทางไหนจะไปทางไหน  มีความรู้ทันนะ  แล้วเจ้าคิดดู  ดวงจิตของเจ้ามันมองไม่เห็นด้วยตา  พร้อมทั้งกิเลสที่ฝึกปรือกันมาเป็นหมื่นชาติ แสนชาติก็ดี  ชาติน้ถ้าไม่มีผู้แนะนำจะจับได้มั๊ย?  มันไม่สามารถจะจับได้เลยนะ    ถึงแม้จะมีผู้แนะนำ  ถึงแม้มีเค้าโครงที่จะรู้เงื่อนงำที่มาที่ไปในมายากลหรือวัตถุ  ยังน้อยคนที่จะจับตาตามได้  มันจับไม่ได้ 

แล้วดวงจิตของพวกเจ้าล่ะ.... อย่าคิดว่าจะสามารถจับจิตของตัวเองได้อย่างง่ายดาย  มันเป็นมายากลของจิตของเจ้าอีกทีหนึ่ง  รู้ไม่ทันมันหรอก   ถ้า ไม่มีผู้ที่มีบุญบารมีมาตรัสรู้  ชี้แนะ ชี้นำทางสัตว์ทั้งหลายที่ยังวนเวียน  เวียนตายเวียนเกิดจนน้ำตาที่หลั่งไหลด้วยความเศร้าโศกเสียใจ  เพราะเหตุใด ๆ ก็ตาม  มันท่วมเป็นทะเล  เป็นมหาสมุทร ก็ยังหาทางออกไม่ได้  เพราะมันหลงกลมายาจิตของพวกเจ้า  จิตของตัวเอง  เพราะฉะนั้น  เจ้าจงดูไว้ว่า  ถ้าเจ้ามีความประมาทแม้แต่นิดนึง  เจ้าก็ไม่มีทางที่จะรอดมายากลของจิตพวกเจ้าไปได้ 

(2)


...

เพราะ ฉะนั้น  วันนี้  ข้าพเจ้าจึงต้องลงมาที่นี่  มาดำเนินการ ณ สถานที่ที่เปิดกองบัญชาการ  คือสถานที่ที่พวกเจ้านั่งกันอยู่นี้ (จุดที่กล่าวถึง...เขากะลา นครสวรรค์)  ผู้ที่มาจากดวงดาราต่าง ๆ อยู่ต่อหน้าพวกเจ้านี้  พระญาณต่าง ๆ มารวมกันอยู่ที่นี้  ขอให้พวกเจ้าอย่าคิดว่าภัยพิบัติมันจะเกิดขึ้นในอนาคต  ให้คิดว่ามันเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้แล้ว  สังวรระวังกันได้ 

ใน ปัจจุบันนี้  มันกำลังเกิดขึ้นแล้วทุกขณะ  มันกำลังพล่าผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ของพวกเจ้าไป  ส่วนรวมโลก  ส่วนรวมประเทศ  และมันกำลังใกล้เข้ามาจนถึงตัวเจ้า  ในวาระจิตของหลาย ๆ คนที่มีความประมาท  ไม่ทุ่มเทจิตใจให้กับการลด  ลดความสุขสบาย  ลดความอยากของตนเอง  ตอนนี้  ต้องลดตอนนี้  ต้องลดความโกรธ  ลดความเกลียด  ลดทิฐิมานะของตัวเอง  ลดศักดิ์ศรี  มีสิ่งที่เป็นเป้าหมายในใจของพวกเจ้า  ซึ่งพวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจ  เรียนรู้กันมาก็มากมาย  แต่ปฏิบัติไปแค่ 20 % ของสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจ  แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงซึ่งแก่นแท้ของธรรม  นี่คือการลด

ต่อไปเป็นการละ  ถ้าลดไม่ถึง 100 %  โอกาสที่จะละมันก็ยาก  โอกาสที่จะเลิกแทบจะไม่มี  เพราะอะไร  เพราะมัวหลงกล  ในดวงจิตของพวกเจ้ามันเล่นมายากลหลอกเจ้าอยู่  มันน่าเวทนา 

ผู้ที่ศรัทธาในผู้ที่มาจากต่างดวงดารา  จากต่างจักรวาล  เปิดจิตเปิดใจศรัทธาพวกเขา  หรือศรัทธาในตัวข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนา  แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าพเจ้ามาที่นี่เพราะอะไร?  มาทำไม?  การมาที่นี่  มาเยือนโลกของเจ้านี้เพื่ออะไร  ไม่ใช่ชื่นชมส่งเดช  มันไม่มีความยินดีหรอกนะ  มนุษย์ต่างดาวเขาไม่ยินดี  อยากเห็นเขาแต่ไม่สนใจว่าเขาต้องการอะไร?  อยากขึ้นยาน  อยากรู้ในเทคโนโลยี  แต่ไม่สนใจว่าเขาสอนอะไร?  ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร? 

อาศัยความอยากของตัว  เมามัวอยู่ในความอยากนั้น  จากเคยปฏิบัติทำดีก็ลดลง  มีนะ  ปกติปฏิบัติธรรมธรรมดาไม่วอกแวก  พอมนุษย์ต่างดาวมา  ความอยากขึ้นยานฯ มืดมัว  หน้ามืดตามัว  ทำให้ใส่ใจในธรรมะลดลงก็มี  แล้วมันดีมั๊ย  มีสมควรมั๊ย  มันถูกเรื่องมั๊ย....

ในวันนี้  เป็นที่ได้บอกไปแล้วว่ามันจะมีความเครียดกันสักนิดนึงสำหรับผู้ที่ต้องการความบันเทิง  วันนี้จะไม่มี 

(3)
.... อาทิตย์นี้  น้ำตาลเคลือบยาหมดแล้ว  ธรรมะโอสถ...อาทิตย์หน้าจะเจอของจริง  ของจริงคืออะไร?  ของจริงคือ ลด ละ เลิก  อาทิตย์หน้าจะพาไปประชุมกันที่บ้านสาวก  ที่มีการเทศนาธรรมมาตั้งแต่พวกเขายังไม่เคยรับรู้เลยว่า  อนาคตต่อไปจะเป็นยังไง  มันน่าสรรเสริญดวงจิตของผู้ที่ฝ่าฟันกันมาในปีแรก  จะนำให้พวกเจ้าผู้ซึ่งมาทีหลัง  เสียดทานความอยากของพวกเจ้ากลับไปสู่จุดนั้น  แต่ไม่บังคับ  ไม่มีการบังคับดวงจิตใด ๆ มีแต่พวกเจ้าจะตามข้าพเจ้ามามั๊ย?  จะรู้ทันมายากลของจิตตัวเองมั๊ย?

ข้าพเจ้าจักทำทุกอย่าง  เพื่อที่จะเสียดทานพวกเจ้าให้เป็นเพชรแท้   ใครที่เป็นเพชรเทียมหลงเข้ามา เขาก็จะทนไม่ได้  เพราะมันไม่มีหวัง  เพราะจะเสียเวลาทำมาหากินของพวกเขา  เพราะเขาไม่ต้องการสัจจธรรมเท่าไร  แค่นี้เขาก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว  เขาคิดยังงั้น

พวกเจ้าที่มีดวงจิตอยากหาทางออกจากวงเวียน   วัฎฎสงสาร  อยากทราบสัจจธรรมของชีวิต  มีใจแน่วแน่จริงจังและตรงต่อพระรัตนตรัย  ซื่อสัตย์ต่อจิตของตัวเอง  ไม่เป็นนักมายากลจิตใจ  สัปดาห์ต่อไปนั้น  เจ้าจะต้องไปพุทธสถานนั้น (สันคู นครสวรรค์)  ในกาลเวลาประมาณเดียวกันนี้ที่พวกเจ้ามา  แต่ถ้ามามืดมันอาจจะหลง  เพราะพวกเจ้ามิเคยไปกันบ่อยนัก  บางท่านอาจจะเคยไป

แต่ ที่นั่น  เป็นที่ที่เคยมีการเทศนาธรรม  มีการต่อสู่ฝ่าฟันกับกิเลสในเบื้องต้น  แต่ต้องไปนะจุดนั้น  ถ้าไม่มีพวกเขาที่ต่อสู้ฝ่าฟันในช่วงต้นมา  ถ้าพวกเขายอมแพ้กิเลสของตัวเอง  จะไม่มีพวกเจ้าในวันนี้  จงจำไว้   จงกลับไประลึกถึง ณ สถานที่นั้น (สันคู)  ในวันครบรอบเปิดกองบัญชาการ

เพราะ ฉะนั้น  บนสถานที่นี้ (บนเขากะลา)  ไม่ว่าใครจะมา  ใครจะไป  ใครจะอยู่อย่างไร  เป็นสถานที่ส่วนกลางอยู่แล้ว  มิมีการห้าม  มิมีการที่จะบังคับใครได้  จงกลับไปสำรวจดวงจิตของตัวเอง  เพราะข้าพเจ้า  ต้องการผู้ที่อยากฝึกดวงจิตของตัวเองให้แกร่ง  เจ้าจักเป็นทหารในกองทัพธรรมของข้าพเจ้า  ที่จะนำดวงจิตฝ่าฟันกิเลสของตัวเอง  เพื่อที่จะไปนำดวงจิตของผู้อื่นที่ทุกข์ทรมาน  ฝ่าฟันในดวงจิต  ในวาระจิตของพวกเขา 

ถ้าเปรียบกับทางโลก  ทหารที่เข้ามาฝึกใหม่ ๆ นั้น    จะต้องมีการเรียนรู้  การฝึกร่างกาย  ทุกคนที่เข้ามาไม่มีความแกร่งของร่างกาย  ก็ต้องฝึกวิ่ง  ฝึกปีนกันไป  นั่นเป็นเรื่องของทางโลก

แต่ ทางจิตใจไม่เหมือนกัน พวกเจ้าเป็นทหารของกองทัพธรรม  ข้าพเจ้าจักนำพาพวกเจ้าฝึกให้แกร่ง  จิตต้องแกร่ง  จิตต้องเข้าถึง  เพราะฉะนั้น  จะปล่อยให้พวกเจ้ามาไปวัน ๆ ข้าพเจ้าเล็งแล้วมันไม่มีประโยชน์  การจะเป็นบุคคลสำคัญของโลก  มิใช่จะฝ่าฟันด้วยความพยายามแค่เล็กน้อย  ด้วยปัญญาแค่เล็กน้อย  แล้วมันจะผ่านพ้นไปได้  กลับไปคิดกัน  ไม่มีการบังคับในวาระจิตของพวกเจ้า  ข้าพเจ้าได้แต่ชี้แนะ  ชี้แนะแนวทางให้พวกเจ้าเดินตามข้าพเจ้ามา  ทั้งสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ปรากฏไปแล้วนั้น  ทำให้พวกเจ้าหลายคนมีความเชื่อที่เพียงพอแล้ว  แต่มันไม่พอกับความอยากของพวกเจ้าเท่านั้น 
 


ทำไม ไฟที่ขึ้นมา  ข้าพเจ้าไม่ทำให้มันเป็นสีม่วงล่ะ  พลูโตไม่มีหรือสีม่วงน่ะ  ทำเป็นสีม่วงให้ส่องเข้ามาแทนที่จะเป็นสีส้ม  ทำไมไม่ทำ  ทำไมมันกึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนไฟรถ  ให้ถกเถียงกัน  ทุกอย่างทุกขั้นตอนมีความหมาย มีเหตุผล  แต่เป็นไปด้วยความกรุณาต่อพวกเจ้า  สอนให้เจ้ามีปัญญา  มิใช่สอนให้เจ้าอ่อนปัญญา
 


เพราะฉะนั้น  ทหารกล้า  ทหารกล้าของข้าพเจ้า  จงตามข้าพเจ้ามาในสัปดาห์หน้า  ทิ้งความอยากของตัวเองซะ  ยิ่งอยาก มันยิ่งให้ไม่ได้  บารมีลด  ยิ่งไม่อยาก  ยิ่งอยากจะให้  มันเป็นอย่างนั้น...

ไม่ว่าจะเป็น บุคคลที่สำคัญของเมืองของเจ้า หรือใคร ๆ ก็ตาม  มันไม่สำคัญ....ถ้าวาระจิตไม่ถึง เจ้าเรียนพุทธศาสนา  ศึกษาประวัติของพระพุทธองค์  ท่านเสียดทานแค่ไหน  เสียดทานด้วยไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไรด้วยซ้ำไป  แต่ดวงจิตมีความกรุณาเหลือเกินจะช่วยสรรพสัตว์  บารมีท่านมากจึงได้มีการเสียดทานขนาดนั้นได้  โดยพวกเจ้าถ้าให้ไปค้นด้วยตัวเอง  ก็ไม่อยากจะพูดหรอกว่าจะเป็นยังไง?


(4)



...
ใครจะถามนะ   คุยกันก่อนนะ  คำถามที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวมนะ  เป็นประโยชน์ส่วนรวมทุกคนฟังแล้วได้ประโยชน์

(มี ผู้ตั้งคำถาม)  ที่นั่งสมาธิอยู่  มีความรู้สึกว่าตัวเองใหญ่ขึ้น  พองขึ้น  แล้วก็นั่งไปสักพัก  พุทโธ  พุทโธ ตลอด  มีความรู้สึกว่าตัวเองหมุนตลอดนะคะ  ไม่ทราบว่าเป็นยังไง
 


(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  คำถามนี้ได้ยินกันทุกคนนะ  จะขอพูดตอนนี้  ใครที่นั่งสมาธิแล้วมีอาการวูบวาบ ตัวใหญ่ตัวเล็ก  ตัวลอย  ตัวพอง  ตัวสั่น  โคลงเคลง  เหงื่อออก   หรือจะยังไงก็ตาม  คนที่ถามนะ  ตัวพอง  ให้เจ้ารู้นะ  อาการมีหลายอย่างนะ  แต่มันก็จัดอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน  คืออาการที่ออกมาจากจิต  นี่คือหนึ่งในการที่จิตของเจ้าเล่นมายากลกับตัวเจ้านะ นี่คือหนึ่ง  มันอาจจะมีหมื่น  หรือมีแสนนะ  แล้วแต่วาระจิตของพวกเจ้า  เพราะว่าบางคนใกล้จะบรรลุแล้วมันจะเหลือน้อย  บางคนที่ยังหยาบอยู่อาจจะยังมีมายาจิตที่เหลือมาก

นี่คือมายากล ของดวงจิตนะ  เพราะจิตจะมีใครบังคับเขานั้นมันเป็นมายา มันจะออกมาเป็นอาการต่าง ๆ มันเป็นกลไกที่สลับซับซ้อน    แต่พูดรวมง่าย ๆ มันเป็นหนึ่งในมายากลในดวงจิตของเจ้า  แต่ละคนจะเป็นของตัวเอง  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ธรรมะรวบรัดขั้นตอนก็คือ  บทสรุปของธรรมะ  ไม่ให้มีการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทั้งนั้น 

จะขอทำความเข้าใจ ก่อนว่า...การปฏิบัติธรรม ฟังข้านะ ข้าพเจ้าจะอธิบายต่อ  การที่บทสรุปของธรรมที่สูงสุดก็คือ  สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ธรรมะทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น  คำนี้เป็นคำที่เป็นสัจจะธรรมขั้นสูง  แต่การปฏิบัติในการที่จะลุล่วงถึงสัจจธรรมขั้นสูงนั้น  ถ้าเจ้าอ้างมายาจิตของพวกเจ้าเอง  เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมะ  จริง ๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์  พอถึงจุดหลุดพ้นแม้แต่ธรรมะท่านก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น  แต่ผู้ที่วาระจิตไม่ถึงนั้นแล้ว จะข้ามขั้นตอน จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมะนั้น  นั่นถือว่าหลงกลในมายาจิตของตนเอง 

เพราะ ฉะนั้น  การที่เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ นั้น  ต้องเริ่มจากกิเลสขั้นหยาบก่อน  ขั้นที่เรียกว่า บาป  ในความโกรธ  ความเกลียดก็ดี  ในสิ่งที่บุรุษทั้งหลาย  บุคคลทั้งหลายบอกว่าสิ่งนี้ไม่ดี  ก็ดี  จงละ  ลด ละ เลิก และไม่ยึดถือ  ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นก่อนต่อไป  ก่อนที่จะละในสิ่งชั่ว  เราก็ต้องยึดความดีถูกมั๊ย  ในแง่ของปุถุชนธรรมดาทั่วไป  ก่อนจะละสิ่งอื่นมันก็ต้องมีที่ยึดเหนี่ยว  ปุถุชนธรรมดาจะไปยึดถือความว่างบริสุทธิ์  จิตมันยังทำไม่ได้  ต้องยึดถือความดี  ต้องละความชั่วก่อนยึดความดีเอาไว้  ต่อไปเมื่อละความชั่วแล้ว   จะเป็นการปฏิบัติให้รู้ถึงขั้นตอนถ่องแท้ของความดี  ความดีมันมีกลไกอย่างไรบ้าง  มีกลไกยังไง  รู้เท่าทัน "ความดี" หรือสิ่งที่เรียกว่า "บุญ"    จึงปฏิบัติขั้นสูง ละบุญในขั้นต้น 
 


สำหรับ โสดาปฏิผลนั้น  ไม่ถึงขนาดละบุญกันหมด  แต่ให้รู้ว่า บุญ คืออะไร?  บาป คืออะไร? สิ่งที่ควรยึดถือคืออะไร  ยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้น  ถึงขนาดขั้นไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่ธรรมะ  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องวางก็คือ อกุศลธรรมและอกุศลกรรม   อกุศลธรรม ควรจะวาง  และอกุศลกรรม  คือการกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศล  ควรจะละ  ลด  ละ  เลิก  วางในสิ่งนั้น

ต่อ ไปตอนนี้  สิ่งที่ควรกระทำคือ  กุศลธรรม และ กุศลกรรม  ทำเอาไว้จนถึงจุดหนึ่งจะสอนให้ลด ละ เลิก  วาง  เขาเรียกว่า ...วางบุญ...ลงซะ   

แต่มันยังไม่ถึงขั้นนั้น  ขั้นนี้ให้...วางบาป...ลงก่อนนะ  สาหัสแล้วนะ  นะ  วางสิ่งที่ในสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไปเขาก็จะรู้ว่าผิดชอบชั่วดี  ผิดถูกนะจะรู้กันอยู่  แต่พวกเจ้าจะต้องรู้ให้ละเอียดขึ้นอีก และก็จะต้องทำได้จริงนะ  เอ้า..คนที่ถามมาน่ะพอจะเข้าใจมั๊ยว่า  สิ่งที่เจ้าถามนั้น นั่นคือหนึ่งในมายากลดวงจิต  ดวงจิตมันเล่นมายากลหลายอย่าง  มันไม่มีความหมายอะไรนะ อืม..เข้าใจมั๊ยล่ะ

(5)

.....
(มีผู้ตั้งคำถาม)..ถ้านั่งนิ่ง ๆ ไปแล้วไม่เห็นอะไรเลย ทำจิตให้ว่าง ก็จะไม่เห็นอะไรเลยใช่มั๊ยครับ...

 (ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เออ...จงไปฟังธรรมะที่ข้าพเจ้าเคยตรัสไว้นะ   ตรงที่มีบุคคลถามถึงแก่นแท้ของการปฏิบัตินะ  ที่ตรัสไว้ในศาลาข้างล่าง  เพราะฉะนั้น  ท่านมาทีหลังท่านไปฟังเรื่องแก่น  เรื่องกระพี้การปฏิบัติ  เอาไปฟังจักรู้เป้าหมายในดำการปฏิบัติ  ถ้าเจ้ากระทำแล้ว กระทำจิต  เรียกว่ากระทำจิตตามนะ  ตามที่ได้แนะนำไว้มันจะเป็นทางลัด 

เออ... ใครมีอะไรที่เป็นวงกลมมั๊ยล่ะ  วงกลม ๆ น่ะ  เอานี่จะยกตัวอย่าง  ของที่กลม ๆ (ฝาตุ่มน้ำมาให้)  อ้อ...นี่ฝาชี  ฝาตุ่ม  เห็นกันมั๊ย  ถ้าคว่ำอย่างนี้ก็คือเวียนนะ  วนเวียนกันอยู่ไม่รู้จะออกยังไง  มันหาทางออกไม่ถูก  ทางวนไปวนมาไม่ค้นพบจุด จุดนี้อาจจะเป็นวงเวียนนี้  คือวนเหมือนกัน ยังวนไม่ถูกที่วนไม่ถูกทาง  ก็วนกันไปก่อนยังไม่ถูกทางน่ะนะ จนถึงผู้ได้รับการชี้แนะอย่างถูกต้องนะ  ที่มีจิต...ปณิธานนะ(ปณิธาน หมายถึง ความตั้งใจจริงที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จนไม่เห็นสิ่งอื่นมีค่าควรแก่การสนใจอีก)

จิตอธิฐานนั้น  สำหรับการปฏิบัตินะ  โค้งตรงนี้ เทียบธรรมดาเหมือนโค้งของโลกพวกเจ้า  เรียกอะไรก็ได้นะ  การที่จะสวนทางขึ้น การที่จะเดินขึ้นเนี่ยนะ 


คลื่นเริ่มอ่อน....การส่งคลื่นมานี่  มันเป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสูง  ซึ่งอธิบายลำบาก  บางคนคิดว่าเป็นไสยศาสตร์  แต่มันไม่ใช่  ซึ่งมีการคล้าย ๆ แบตเตอรี่นั่นแหละ  ถ่ายไฟอ่อนได้  ก่อนที่จะจบนะ  อันนี้เป็นสุดท้ายแล้วกัน
 


เห็นมั๊ยโค้งตรงนี้  พวกเจ้ายืนอยู่นะจุดตรงนี้ เรียกว่า 50 - 50 สำหรับโค้งนี้นะ  ประมาณตรงนี้นะ  เออ ฝาอะไรเนี่ยนะ  ตอนนี้ 60 บุคคลนะ  พูดถึง 60 บุคคลขึ้นอยู่โค้งประมาณนี้  ดูมันกึ่ง ๆ ไม่ถึงขนาด 50 - 50 ขึ้นมาถึงกึ่ง ๆ 60 บุคคลนะ 

เพราะฉะนั้น  การปฏิบัติเป็นธรรมดาของพุทธศาสนา  ซึ่งมีการแต่งแต้มประเพณีต่าง ๆ  คำนิยมต่าง ๆ  เติมตามยุคสมัยต่าง ๆ มาเป็นเวลา 2500 ปี  นึกเท่าไรพวกเจ้าก็คงนึกไม่ออกเท่าของจริงว่า  แก่นแท้นั้นมันถูกทับถม  แก่นแท้ตั้งอยู่ที่เดียวคือแก่น  แต่มันถูกทับถมด้วยเปลือก  ด้วยกะพี้  ด้วยใบไม้  ต้นไม้ต่าง ๆ ทับถมกันมา 2500 ปี  ทีละเล็ก ทีละน้อย  ความบริสุทธิ์ของแก่นนั้นมันถูกทำให้หมองมัวลงไป  จึงเป็นการยากที่ผู้ที่เกิดมาในกึ่งพุทธกาลนี้  จะเชื่อจริง ๆ ว่า  นี่คือแก่น....  เพราะอะไร  เพราะติดที่ความหรูหรา  เพราะติดที่การสั่งสอนกันมา  บางท่านก็ยึดติดในแบบของการทำสมาธิ  แบบนี้มีคนทำเยอะ  แบบนี้เขาบอกทำง่ายไปฝึกวัน 2 วัน ก็สามารถบรรลุตามได้ง่าย  หรือแม้กระทั่งมีการเผยแผ่ของพลังต่าง ๆ 

ยัง ไงก็ตาม  บางคนเหมารวมเอาเป็นพุทธศาสนา  ยังมีหลายคนมองพระพุทธศาสนาได้ไม่ถึงหลักของความจริงที่เขามีอยู่  สัจจะธรรมมีอยู่ มองได้แค่ ม ม้าตัวหลัง  มันก็ ม ม  ม.อะไร  ม.มัวหมอง  มอมแมมอะไรก็แล้วแต่ มองได้แต่ ม. มันไม่ถึงตัว ส. ข้างหน้า  เพราะฉะนั้น มันจะไม่พบสัจจะธรรม  อืม ญาณอ่อนนะ  เดี๋ยวให้บทเรียนสุดท้ายเสร็จก่อนนะ  พูดถึงแก่นแท้ของธรรมจากสาขาต่าง ๆ ข้าพเจ้าถึงบอกว่า  คิดดูแล้วให้วางกันไว้  วางไว้ก่อน เพราะแต่ละคนจะยึดติด  ธรรมะของใครคนนึง  แต่คนยึดติด ปฏิบัติยึดติดสำนัก  ยึดติดการบรรลุ  ยึดติดอิรุงตุงนัง  แต่ทุกอย่างถ้ายังไม่ถึงขั้น  มันยังอยู่ในมายากลของดวงจิตอยู่ทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น  ควรที่จะเข้าใจหลักกลไกของธรรมะนั้น...

(6)
บุคคล ที่จะพัฒนาดวงจิตของตนเอง  สามารถทำได้ในชาติที่เป็นมนุษย์นี้  แต่ถ้ายังหลงเชื่อมายากลของดวงจิต  ไม่มีการขัดขืน ไม่มีการฝืน  หลงติดในภาพลวงของมายา  ยศถาบรรดาศักดิ์ภายนอก  โอกาสที่เจ้าจะวนอย่างนี้  วนเป็นลูกข่างนะ  วนเป็นลูกข่างต่อไป  โอกาสต่อไปไม่มีคนนำนะ  ถ้ายังอยู่ใน 60 นะ จะมีคนนำในศาสนาหน้า  แต่การจะเป็นผู้นำมันยาก  มันยากในการที่จะฝืนดวงจิต ไม่ใช่เอาเจ้าไปทรมาน เอาตะปูทิ่มเมื่อไหร่  แต่เอาดวงจิตไปเสียดทาน  ไปเสียดแทงกับความอยากที่เจ้าเคยผ่านมา  นั่นเป็นวิธีการอันแท้  อันเก่าแก่ของพระพุทธองค์  นึกดู  เจ้าจะมาเห็นพระพุทธรูปใหญ่โตในสถานที่  เป็นคนที่เขาบูชา  แต่ดูประวัติท่านซิ...ท่านอยู่ในป่า  ท่านเสียดทาน   ขนาดฝึกกับผู้ที่เป็นอาจารย์ให้ท่านแรก ๆ จนถึงขั้นสมาบัติ  ท่านยังรู้ว่ามันไม่ใช่  ท่านยังกลับมาหาวิธีการของท่าน  ด้วยการกลับเข้าสู่ป่า ลด ละ เลิก  แต่ท่านมีภูมิปัญญาเลิก  จึงสามารถหลุดรอดบรรลุขึ้นมาได้  เพราะฉะนั้น  พวกเจ้าถ้าตามข้าพเจ้ามา  ในวาระจิตของพวกเจ้า  โดยพยายามลดมายา  ลดภูมิรู้ของตัวเองในการยึดติดต่าง ๆ  เป็นเครื่องประดับความรู้ได้  แต่อย่าเอามายึดในการที่จะมาเป็นข้อโต้แย้งอะไรต่าง ๆ นั้น ต่อรองอะไรต่าง ๆ นั้น  มันทำให้กลุ่มเขาเสียเวลา

เพราะฉะนั้น ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน  อาจจะใช้ได้ในกรณีหนึ่ง  นี่ไม่ได้หมายถึงผู้รู้ทั่ว ๆ ไปนะ  แต่หมายถึงการที่จะออกจากมายาของจิต  ถ้าผู้ที่มีภูมิรู้มากอย่างที่บอกนะ  แนะนิดนึงเขาปรับจิตได้เขาจะไปเร็ว  แล้วเขาจะเป็นผู้นำ

แต่ผู้ที่รู้มากแบบไม่ถูกน่ะนะ  เรียกว่ามิจฉาทิฐิมันมาก  ได้รู้แบบมิจฉาทิฐิ ยึดอยู่นั่นแหละ  ยึด  ยิ่งรู้มากมีหลายเส้นให้ยึด  ยึดอยู่  ปล่อยเส้นนี้  ก็ยึดเส้นนู้น  เพราะมันมี  ศึกษามา 12 สาขา  ยึดไว้  ปล่อยไปสาขาหนึ่ง  เหลืออีก 11  ยังเสียดายอยู่  ไอ้พวกที่มี 1 สาขา  พอมันปล่อยแล้วมันก็ปล่อยเลย  ถูกมั๊ย.. มันรู้น้อย  อย่าให้เป็นแบบนั้น ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน  มันไม่ดี  เพราะมาเจอของจริงแล้ว  ยิ่งรู้มากให้ใช้ประโยชน์จากสาระ  หรือเกล็ดธรรมะ  ของสิ่งที่รู้ในข้อดีข้อเสียมาสั่งสอนบุคคลซึ่งเขาไม่รู้  เป็นเกล็ดอะไรต่าง ๆ หรือประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ที่เนิ่นช้ามานานเลยก็ได้  พวกเรียนต่าง ๆ น่ะ  เอาสิ่งที่เป็นธรรมะสอนเข้าไป  เออ...พอละนะ...

(7 จบ)

......




ข้อความส่วนหนึ่งที่ถอดจากเทปบันทึกเสียง
ของการให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 30 มกราคม  2542
ณ เขากะลา  นครสวรรค์
...

………….
ข้อความหลากหลาย  ที่ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโตได้ถ่ายทอดไว้ ณ เขากะลาให้กับสมาชิกกลุ่มเขากะลาในรุ่นแรก ๆ ได้รับฟัง  ทุกอย่างล้วนกล่าวถึงกฏธรรมชาติ  เป็นการสอนให้เข้าใจขันธ์ห้า  เพื่อการปล่อยวาง  ละการยึดมั่นถือมั่น  ละอัตตาตัวตนทั้งสิ้น

ซึ่งเป็นการสวนทางกันโดยสิ้นเชิง  กับความเข้าใจของคนทั่วไป  ที่คิดว่าบุคคลกลุ่มนี้ได้ไปหลงใหลในมนุษย์ต่างดาว  ไปหลงไหลในเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว  ไปศึกษาเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้  ไกลตัว  จนออกไปนอกโลก  นอกจักรวาล 

จึงดูราวกับว่าบุคคลกลุ่มนี้ได้เพี้ยนไปไกลจากแก่นของธรรม

แต่ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร?  ใครจะเข้าใจอย่างไร?   ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปเปลี่ยนแปลงโครงการของมนุษย์ต่างดาวที่มาเพื่อช่วย เหลือโลกใบนี้ได้   เพราะนี่เป็นโครงการใหญ่...ที่ต้องมาให้ความช่วยเหลือกันตามกฏธรรมชาติ

แต่ก็ยังมีบุคคลในส่วนหนึ่ง  ซึ่งมีทั้งเขากะลารุ่นที่ 1 - 4   ที่เข้ามาด้วยความเข้าใจ  และผสมผสานกันเข้าเป็น.....กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ในขณะนี้  และยังคงดำเนินกิจกรรมเพื่อการประสานงานอย่างต่อเนื่อง

เพราะได้มีการไตร่ตรอง  และเห็นจริงจากการปฏิบัติ  ลด ละ ปล่อยวาง เบาบางจากทุกข์  จากการยึดมั่นถือมั่น  จนสามารถเข้าใจกลไกของขันธ์ห้า  ละอัตตาตัวตนได้ในระดับหนึ่ง และได้เข้าทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว  ในนามของ...กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) แล้วนั้น  ต้องขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่ง

สำหรับท่านที่ได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมา อย่างต่อเนื่องนั้น....ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน  พบเจอเรื่องราวเมื่อใด   จะเคยพบเจอมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ ?   ไม่สำคัญ 

อยู่ที่ว่า...ถ้าท่านศึกษา  ทำความเข้าใจ  และปล่อยวางได้  ความทุกข์ที่เคยมีมากมายได้ลดน้อยลง

นั่นถือว่า....ท่านได้..."ประโยชน์ตน"...ของท่านไปแล้ว ณ ขณะนี้   

ส่วนประโยชน์ท่าน....ที่จะทำงานร่วมกับระบบได้มากน้อยแค่ไหนนั้น   สถานการณ์จะจัดสรรให้ท่านเอง

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนากับทุก ๆ ท่าน  ที่ได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร  และให้กำลังใจทีมงานอย่างต่อเนื่องตลอดมาค่ะ

โอวาท..จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

ขอขอบคุณ  หลาย ๆ ท่านที่ได้ให้ความสนใจ และติดตามอ่าน 
"ข้อความจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต"  ที่ได้มีการให้โอวาทแก่ผู้ฝึกจิต  ให้ความกระจ่างในเรื่องของกฏธรรมชาติ  เตือนสติ  และชี้แนะแนวทางการปฏิบัติเพื่อการละวางอัตตาตัวตนให้กับมนุษย์โลก  ผู้ร่วมทำงานในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติบนโลกมนุษย์ในครั้งนี้

การ ได้รับรู้  การได้รับฟัง  การได้รับทราบแนวทางของการปฏิบัติ   ผ่านข้อความ  ที่ผู้ทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว  ซึ่งมีความเจริญทั้งทางจิต  และเทคโนโลยีควบคู่กันไปนั้น   แทนที่จะสอนใจเราสนใจในอวกาศ  ในโลกลึกลับ  ในเรื่องของเทคโนโลยีจากต่างดาว

แต่ตรงกันข้าม  กลับสอนแต่ให้ดูขันธ์ห้า  ให้ละอัตตาตัวตน  ให้รู้เท่าทันทุกข์ และชี้แนะแนวทางเพื่อออกจากทุกข์ 

นั่น แสดงว่า  เรื่องนี้สำคัญที่สุด  สำคัญกว่าการที่จะไปค้นหา  ไปศึกษา ไปเรียนรู้นอกโลก นอกจักรวาล  ซึ่งจะเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ   เพราะเวลาของทุกสรรพชีวิตที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้  ก็มีน้อยอยู่แล้ว

ดังนั้น  ได้เคยกล่าวไว้อย่างต่อเนื่องมาตลอดว่า 
นี่เป็นการ "แจ้งเพื่อทราบ"  เท่านั้น 

ไม่ว่าจะเป็น "การแจ้งเพื่อทราบ"  ในเว็บไซด์  www.ufokaokala.com แห่งนี้  หรือในเว็บไซด์อื่น ๆ  รวมถึงการจัดกิจกรรม  การบรรยายเรื่องราวของกลุ่มประสานงานฯ ณ สถานที่ต่าง ๆ ที่ผ่านมาก็ตามนั้น  ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า ....

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)   เป็นกลุ่มที่ได้รับการติดต่อสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวมาอย่างต่อเนื่องยาว นาน  และมีการรวมกลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อในเรื่องเดียวกัน   พบเจอปรากฏการณ์คล้ายกัน  และมีความเข้าใจในการที่จะทำงานร่วมกัน  เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันกับที่มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้  คือให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลกในยามที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกใบนี้

นี่คือความเชื่อของกลุ่มบุคคลกลุ่มนี้  ที่ชื่อ  กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

และความเชื่อนี้  ก็เป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่ม  ไม่ได้มุ่งหมายที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อของบุคคลอื่น ๆ เลย

ดังนั้น  เส้นทางที่จะเดินไปยังจุดหมายปลายทาง  ที่แต่ละคนได้เลือก ได้ไตร่ตรอง ได้พิจารณานั้น  มีหลายเส้นทาง 

ทุก คน  ต้องใช้ปัญญาพิจารณาเส้นทางที่จะต้องเดินไปของตนเอง  ทางใดที่เห็นว่าดี  เห็นว่าถูก เห็นว่าเหมาะสมสำหรับตนเองแล้ว  ก็ควรเร่งที่จะมุ่งหน้าเดินไป  ตามลู่ทางที่ตนเองได้เลือกไว้ด้วยความตั้งใจเถิด


เพราะนี่คือประโยชน์ตนของแต่ละท่าน  ในยามที่เวลายังมีอยู่

ในความไม่เชื่อ  ในความไม่ศรัทธา  ในสิ่งที่เห็นว่าไม่น่าเชื่อถือในเรื่องใด ๆ  ก็ตามนั้น 

ขอ ท่านอย่าได้เสียเวลา  โดยปล่อยให้เวลาที่มีค่าของท่านผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลย   ควรใช้เวลาที่มีค่าของท่านทำในสิ่งที่มีประโยชน์กับดวงจิตของท่านจะเหมาะสม กว่า  อย่าเสียเวลากับความลังเลสงสัย   ที่ยังหาคำตอบไม่ได้อีกเลย

ส่วน ท่านที่หมดความลังเลสงสัย  ลองปฏิบัติตามแนวทางละวางอัตตาแล้ว  ความทุกข์ได้ลดน้อยลงไป  ก็ควรใช้เวลาอันมีค่าแต่ละวินาทีที่มีอยู่  เร่งเดินหน้าปฏิบัติต่อเนื่องไป  เพื่อพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง   ปล่อยวาง  ละการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้าให้มากขึ้นให้ได้โดยเร็ววัน  เพราะท่านคือบุคคลที่สำคัญในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในโครงการนี้

ขอ นำข้อมูลการให้โอวาท  จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  เมื่อปี 2542  ที่เขากะลา  มาให้ท่านที่สนใจได้รับทราบเพิ่มเติม  อาจทำให้หลายท่านเกิดความกระจ่าง  เห็นภาพมุมกว้างของโครงการนี้  ที่ทำไม  ผู้ทรงภูมิปัญญาจากดวงดาวอื่น ๆ   จึงได้ให้ความสำคัญกับผู้ร่วมทำงานแต่ละท่านอย่างเหลือเกิน

....คำตอบ....จากคำถามเหล่านั้น  อาจจะทำให้หลายท่านเกิดความกระจ่าง มากขึ้น 
 



..................................................................................


ข้อความส่วนหนึ่งของการให้โอวาท
จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
ณ เขากะลา  นครสวรรค์
วันที่ 6 มีนาคม 2542



....

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  -  ข้าพเจ้า หรือที่พวกเจ้าเรียกว่า ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  ในการที่ข้าพเจ้านำพระญาณ และนำเทคโนโลยีรวมทั้งผู้เจริญจากดวงดาราต่าง ๆ และจากต่างจักรวาลนั้น  ในส่วนนี้ในการไตร่ตรองในส่วนรวมแล้ว  มีการระบุในทุก ๆ อย่างไว้อย่างชัดเจนนะ  แต่ในตรงนี้จะขอทำความกระจ่างในกฎกติกา หรือกฎของธรรมชาติ  ทบทวนในจุดมุ่งหมายของการมาของข้าพเจ้าในส่วนแรก  และในตอนท้ายนั้น  จะพูดถึงสถานที่ที่พวกเจ้าจะบำเพ็ญบารมี  หรือจะอยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป  ในส่วนตรงนี้พวกเจ้าที่นั่งอยู่ ณ สถานที่นี้  ยังมีใครมีความลังเลสงสัยในเรื่องของภัยพิบัติอีกไหม?

(ไม่มีครับผม)

(คุณจีราวรรณ) ในเทปของ ดร.เทพนม  นั้น  บอกว่ามนุษย์ต่างดาวไม่ได้ลงมาช่วยมนุษย์  แต่จะให้มนุษย์ช่วยมนุษย์เอง 
แต่ท่านบอกว่าจะช่วยมนุษย์...อันไหน..ที่ถูก?


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เออ...แล้วเขามาอยู่ในกลุ่มนี้ไหม ?  มนุษย์ต่างดาวเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน...

(คุณจีราวรรณ) คือว่า  มีฝ่ายดำ  กับฝ่ายขาวใช่ไหม?   

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ไม่ใช่ ... มีฝ่ายที่สามารถช่วยเจ้าได้จริง  กับสามารถช่วยได้แค่เตือน  จงฟังไว้...เหมือนจิตของมนุษย์  มีผู้ที่มีความสามารถ  กับผู้ที่มีความสามารถในการพูดในการบอก  กับผู้ที่มีความสามารถได้ทั้งพูด ได้ทั้งบอก  และได้ทั้งกระทำให้การช่วยเหลือ...

เพราะฉะนั้น  ตรงนี้เจ้าต้องมีการไตร่ตรอง  มีการแยกแยะ  และมีการใช้ปัญญา และใช้ศรัทธาของพวกเจ้า  เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีการเรียนรู้จากที่ไหนมาก่อน

เพราะ ฉะนั้น  ตรงนี้ไม่มีครูมาก่อน  แต่สิ่งที่ได้ประสบพบเจอต้องใช้ปัญญาและวิจารณญาณของตัวเอง  และมีจิตเก่าจึงจะมีศรัทธาในการที่จักไตร่ตรองและกระทำในส่วนที่เห็นว่า  เราสมควรทำ

เพราะฉะนั้น  ในส่วนตรงนี้นะ...เออ  มีการถามขึ้นมาแล้ว  ก็เป็นการดีที่ข้าพเจ้าจะบอกว่า  มนุษย์ต่างดาว  ดวงดาวในจักรวาลนี้  หรืออนันตจักรวาลนั้นมันนับไม่ถ้วน  มันมากมายเหลือเกิน  จึงไม่รู้ว่าจะพูดถึงหรือแยกแยะยังไงได้หมด  ตรงส่วนที่เขาได้เคยมาสร้าง   หรือได้เคยมามีประวัติอะไรในโลกของเจ้านั้น  เป็นอดีตที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงว่าเขาเป็นใครกันบ้าง  เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรในการพูดถึงสิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เจ้าเห็นว่ามีส่วนที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม  เพราะมันผ่านไปแล้ว  และเป็นสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายไม่ได้ประสบด้วยตัวเองกันทั้งนั้น  จึงไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง

แต่ในปัจจุบันนี้  ในขณะนี้  และ ณ วินาทีนี้  เราอยู่ที่ไหน  เรากำลังประสบกับอะไร?  มีองค์ประกอบอย่างไรบ้างในการที่จะชักนำให้เรามา ณ สถานที่นี้  และจะเป็นผู้นำของเราในการที่จะปฏิบัติในวาระจิตจากปัจจุบันนี้และในอนาคต 

เพราะฉะนั้น  การที่เราทำจิตอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดนั้น  เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด  เพราะปัจจุบันนี้  คือสิ่งที่เราทำได้เดี๋ยวนี้  ณ วินาทีนี้  เพราะในความจริงแล้ว  วันพรุ่งนี้มันเป็นสิ่งสมมุติ  มันไม่เคยมาถึงเราเลยวันพรุ่งนี้เนี่ย  เมื่อเราตื่นนอนขึ้นมามันก็เป็นวันนี้เสียแล้ว  มันมีที่ไหนวันพรุ่งนี้...

เพราะ ฉะนั้น  การที่เราคิดจะทำจิตของเราให้ผ่านเข้าไปถึงจุดมุ่งหมายอันสูงสุดของเรานั้น  ต้องทำตอนนี้  วินาทีนี้  ในเวลาที่เราหายใจเข้า หายใจออกอยู่นี้  มันจึงจะถูกต้อง  อย่าไปหวังว่าพรุ่งนี้บารมีเราจึงจะเต็ม  ทุกวินาทีมีค่าอย่างยิ่งในการที่จะปฏิบัติสติของเรา..


(1)

…..





สำหรับ หลักการ  จะต้องเข้าใจตรงกันนะตรงนี้  นโยบายเป็นสิ่งสำคัญ  จะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอยู่ที่วาระจิตของเจ้า  แต่ถ้ารับทราบนโยบายผิดเพี้ยนมันจะสามารถเดินทางตรงได้ไหม?  มันก็เดินไม่ได้  เหมือนคนที่ปฏิบัติพระพุทธศาสนา

....เอ้า  มีอะไรกลม ๆ ไหม?  ... ถ้าไม่มีจะทำมือนะ  เอาฝาหม้อ  เอามา  ฝาหม้ออีกแล้ว  ดี ดี...





ตรง นี้นะ  จุดกลางตรงนี้นะ  เรียกว่า องศา  ของพวกเจ้า  วงกลมนี้มันก็เรียกว่ามี 360 องศานะ   ในส่วนตรงกลางนี้นะเปรียบเสมือนผู้ที่มาเจอพระพุทธศาสนา  อยู่ตรงกลางเลย  มีทางแยก 360 ทาง

การปฏิบัติของเราขั้นต้นนะ  รักษาศีล  หรือธรรมะขั้นพื้นฐานมันจะแยกไม่ออก  มันจะเหมือน ๆ กันเพราะมันเป็นขั้นพื้นฐานนะ  เหมือนเด็กที่เรียน ก.ไก่ ข.ไข่ อนุบาลน่ะ  เรียนมาพร้อม ๆ กันขั้นต้น  เราจะไม่รู้ได้ว่าไอ้คนนี้โตขึ้นมันจะเป็นดอกเตอร์ ไอ้คนนี้โตขึ้นมันจะเรียนได้แค่ ป.6 เพราะปัญญามันไม่ไปแล้ว ตรงนี้แยกไม่ออกเหมือนกัน

ก็เหมือนกับตรงนี้  ทำยังไงล่ะจะแยกออก  ไม่รู้ว่ามันจะถึงขั้นลึกนะ มันแยกไม่ออก  สมมุตินะตรงนี้

ทาง สายที่ถูกต้อง  ถึงแม้ว่าการปฏิบัติหลายอย่าง  แต่การที่จะนำจิตให้ถูกต้อง  จะต้องมีทางเดียวถูกไหม?  คือการลด ละ เลิก  และการละกิเลส  ไม่ว่าท่านจะมีส่วนของสิ่งประกอบหรืออิทธิวิธีต่าง ๆ  แต่ทำไมไม่รู้จักวาง  ทำไมจะไม่ได้  มีอยู่ทางหนึ่ง

สมมุติ นะ  นิ้วชี้นี้นะ  ต่อเมื่อมีผู้ปฏิบัติในขั้นลึกในการทำจิตให้แยบคายในขั้นลึกนะ  ถ้าเบี่ยงไปแม้สัก 1 องศา  เจ้าคิดดู  ในขั้นต้นนะ  ทางตรงไปยังงี้  เบี่ยงไปแค่องศาเดียว เมื่อเดินตามนั้นลึก ๆ ๆ ไปนะ  ทางตรงทางนี้นะ  ยิ่งไกลออกนอกลู่นอกทาง  แล้วไปตามนี้เพราะอะไร  เพราะอาจารย์อยู่  อาจารย์บอกมานี่  เพราะอาจารย์ไปถึงขอบนี้แล้ว  เพราะเขาก็ยังไม่รู้เหมือนกัน  เขาคิดว่าตรงนี้น่ะดี  ตรงนี้นะ  วาระจิตของเขานะ  ทุกคนอยากปฏิบัติดี  ปฏิบัติถูก  ปฏิบัติตรงกันทั้งนั้น  แต่ก็บอกแล้วว่ามันยุคเสื่อมนะ  มันหายาก  พวกเจ้าก็อยากแสวงหาธรรมะที่มันถูกต้อง  รู้ไหม  มันหายากเพราะอะไร  เพราะมันยุคเสื่อมหนึ่ง  เพราะโลกาภิวัฒน์  มันภิวัฒน์มากเท่าไรมันก็ยิ่งห่างไกล  ไอ้โลกาภิวัตน์นั้นมันอยู่ตรงข้ามนี่    มันคนละเรื่องกับธรรมะ   อันไหนที่มันได้เปรียบมันถือว่าดี   เดี๋ยวนี้  คนเดี๋ยวนี้  ถ้าใครไม่รู้ทันใคร  หรือเสียเปรียบใครนะ  ไม่อยากจะคบเป็นเพื่อนเลย  มาคบกับเราทำให้เราเสียเปรียบไปด้วย  จริงไหม? ในวาระจิต  ยิ่งอยู่กรุงเทพฯ  โอโห...ไม่ต้องบอก  การที่จะให้อะไรลงไป  ต้องคิดว่าเราจะได้อะไรกลับมา  ไม่ว่าจะคิดเป็นรูปธรรม  หรือนามธรรม  หรือการยอมรับนับถือ 

เพราะฉะนั้น  มันจะอุทิศชีวิตได้ไหม  ไม่ต้องพูดถึง  พูดถึงไม่ได้  มันไม่เข้าหูเขาหรอก เขาว่าพวกเรานี่โง่  สุดโง่แล้ว  มาทำอะไรกันตรงนี้  ภัยพิบัติจะมาถึง  รู้ทั้งรู้  ยังต้องมานั่งฟังธรรม  ปฏิบัติธรรม  น่าจะสะสมในสิ่งที่เตรียมกันมาในอะไรต่างๆ ส่วนต่าง ๆ สร้างไว้เราจะได้อยู่ได้นาน ๆ เราจะได้สุขสบายเยอะ ๆ  เขาว่าเราโง่รู้ตัวไหม?  รู้ตัวว่าโง่ก็ดีแล้ว  จะได้ฉลาดขึ้นมาอีกหน่อย  หมดธรรมะจากฝาหม้อ..เอาคืนไป...


(2)

...





ความ โลภของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด  โลกนี้ถ้ามันเป็นเจ้าของมันก็ไม่พอหรอก  มันจะไปยึดดาวอื่นอีก  จริงไหม?  มนุษย์ขนาดที่มันเหยียบนี่กี่ตารางนิ้ว  ที่เท้าสองเท้าของทุกท่านเหยียบนี่  นี่มันเท่าไร?  แล้วมันอะไรกันนักหนา  กิเลสทั้งนั้น  เออ...ไอ้พวกนี้มันกำเริบ  ลมกำเริบ  เดี๋ยวมันก็ตาย  มันก็ฆ่ากันตายเองแหละ  นะ  มันก็สมควรตายทั้งคู่  อันนี้ไม่ได้ว่าอะไร  ตามกรรมของมันนะ  มันก็เตรียมจะยิงกันอยู่แล้ว  ตายกันไปคนละฝ่าย เฮ้อ  มันมีใครดีไหมนี่  มันเป็นความอยากไม่สิ้นสุดนะ  เราไม่ว่าใครจะยังไง  แต่เมื่อความอยากแล้วจิตไม่บริสุทธิ์  แล้วเราก็ไปตามความอยากของมัน  ถ้าอยากสวย  อยากหล่อ  อยากดี  อยากใหญ่  อยากเก่ง อยากเด่น  อะไรน่ะ  มันก็ไปตามความอยากของมัน  ปรุงแต่งไป  ตรงนี้น่ากลัวมาก  ความอยากน่ากลัวกว่าความไม่อยาก..ถูกต้องไหม?   

ส่วนตรงนี้  ใช้เวลามากสักหน่อยในการทำความเข้าใจถึงจุดมุ่งหมาย ทบทวนทุกท่านนะ  สำหรับกฎของสิ่งที่ข้าพเจ้ามานะ  ทำไมมาช่วยเหลือพวกเจ้า ก็ได้บอกไปแล้วนั้น  ทำไมไม่ไปในส่วนที่ผู้มีบารมีที่ปฏิบัติมีฌานมากกว่ามากมาย 

ข้าพเจ้า ไม่ได้พูดถึงบุคคลอื่น  พูดถึงข้าพเจ้าทำไมถึงไม่ไป  เพราะว่าอะไร?  เพราะยังไงก็ตามก็ไม่สำคัญเท่ากับผู้รักษาพระธรรม  เพราะฉะนั้น  พวกเจ้าสำคัญในการที่จะรักษาพระธรรม  ถ้าพวกเจ้าไม่มีพระธรรม  อย่าหาว่าข้าพเจ้าไม่เกรงใจนะ  เมื่อไม่มีธรรมแล้ว  มันก็ไม่รู้จะเอาไปทำไม  ใช่ไหม? 

เงินทางโลกเจ้า....ข้าพเจ้าก็ใช้ไม่ได้  ...อาหารก็กินไม่ได้  ที่อยู่...ก็เป็นพิษ  แถมทหารที่ข้าพเจ้าพามานี่นะ อาจต้องเสี่ยงถึงชีวิตในการที่จะมาช่วยเหลือรักษาในการที่เจ้าสามารถรักษาพระธรรมได้  เขาเสี่ยงชีวิต    เพราะฉะนั้น  ตรงนี้เขาต้องอุทิศแม้กระทั่งชีวิตเหมือนกัน  ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวจะไม่ตาย  เป็นมนุษย์แต่อาจจะมีภาวะพลังงาน หรือสรีระ  หรือธาตุทั้ง 4 น่ะ  มันไม่เหมือนพวกเจ้า   อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในส่วนของที่เขาอยู่หรือตามสภาพของดวงดารานั้น ๆ ตรงนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติอย่าไปสนใจ  หรือว่าศึกษามากในรายละเอียดตรงนี้  เรานี้อากาศเย็นเท่าไร  ร้อนเท่าไร  ประชากรกี่คน  เลิกสงสัย เลิกถามได้แล้ว  แค่โลกของเจ้าเรียนยังไม่จบเลยนะ  ตรงนี้ต้องตัดไปนะ  ถึงมีความอยากรู้  ตรงนี้ต้องตัดไป เอาส่วนที่สำคัญก่อน  ต่อไปไม่ใช่แค่เรียนรู้  จักรู้ด้วยตนเอง  เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าจิตถึง เราก็ถึงเจ้าตรงนี้ 

... เพราะฉะนั้น  การที่พระพุทธองค์ทรงยกพระธรรมคำสั่งสอนเป็นศาสดาแทนท่าน  นั่นคือถูกต้อง  นั่นคือเนื้อธรรมที่ท่านบอก  กายหยาบที่ละสังขารไปมันก็ใช้ทำอะไรไม่ได้  แต่พระธรรมเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่จะเป็นศาสดา  หรือสิ่งที่เราจะเคารพบูชา  เพราะฉะนั้น  เรากำลังจะเป็นผู้ดำรงธรรม  เป็นเกียรติสูงสุด  เทพก็ต้องสรรเสริญพวกเจ้า  พรหมก็ต้องสรรเสริญพวกเจ้า  เพราะเขาไม่มีโอกาสในการอธิฐานจิตมาอยู่ ณ สถานที่นี้ได้  ไม่ใช่ว่าใครก็ได้นะ  ไม่ใช่...ต้องมีบารมีเพียงพอนะ

เพราะ ฉะนั้น  เจ้ามาอยู่ตรงนี้แล้ว  เรียกว่าประเสริฐนะ  ทุกคน  แต่ในส่วนการระลึกชาติ  หรือการมองเห็นล่วงหน้านั้น  มันไม่จำเป็น ให้รู้จิตว่า  ภาวะจิตของเราตรงนี้ให้ทำให้ดี


(3)

...



... เราตั้งจิตมุ่งหมายแล้ว เราต้องทำจริง  เราต้องตั้งใจว่าทำกันจริง   พูดว่าขึ้นยานฯ นี่มันโก้  โก้แน่นอน  ที่มากันนี่อยากขึ้นยานฯ  เพราะคิดว่ามันโก้ดีกว่ายานอวกาศรัสเซีย  ไม่สนเท่ายานฯของข้าพเจ้า  แต่กว่าจะโก้กันได้อย่างนั้น  ต้องตากเหงื่อกันน่าดู   ตายต้องยอมสละกัน  ถูกต้อง  ตรงนั้นเขาต้องเสียเงิน  ต้องมีความสามารถ 

แต่ตรงนี้ ต้องเสียชื่อเสียงนะ  บางคนเสียญาติมิตร  ไม่คบ  มันไม่น่าคบ  บางคนนึกว่าเราเสียจิตนะ  ถูกไหม?  ผ่านการเสียดสี  ที่เรียกว่าเราเสียดสี  ที่ว่าเราผ่านการเสียดสี  ยิ่งถูกเสียดทานมาก  ยิ่งบ่งบอกว่า  เราเป็นบุคคลที่มุ่งมั่นต่อพระธรรมมาก   เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่โดนว่าเป็นพวกที่หลงงมงาย  หรืออะไรก็ตาม  ยังไม่โดนแรงเสียดทานนั้น  บารมีเขยิบได้น้อยนะ  เพราะยังไม่ถูกแรงต้านทาน  ถึงใคร ๆ เขาว่าเราบ้า  ยินดีนะ  ที่มีผู้รับรอง

ใน สมัยก่อน  มนุษย์ต่างดาวเคยลงมาเจอมนุษย์  ในสมัยก่อนในทวีปยุโรป หรือทวีปใดของพวกเจ้า  พบแล้วเป็นไง พบแล้วอยากอีก   ตรงนี้ไม่มีประโยชน์  ในการที่เมื่อเรารู้  เรามีการไตร่ตรอง เราจะต้องทำสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับบุคคลที่เราจะดูแลเขา 

เพราะ ฉะนั้น  ถึงเจ้าร่ำร้องอย่างไร  เขาก็ยังไม่มาเพราะดวงจิตของเจ้ามันไม่พร้อม  มีไหมร้องไห้อยากจะเจอเขาน่ะ  ทุกคนมีจิตผูกพัน เรียกว่ามีจิตเก่า  เราเคยเจอกันมาก่อน  มีจิตผูกพันกับมนุษย์ต่างดาว  มันไม่แปลก  เพราะมีจิตผูกพันกันมาก่อน  ข้าพเจ้านี่แหละเคยเจอพวกเจ้ามาก่อน  มาแนะนำตัวกันก่อน  แล้วค่อยมาเจอกันใหม่  ตรงนี้มันจะคุ้น ๆ  นะ 

มัน มีขอบเขตจำกัดในการปฏิบัติเรื่องใด ๆ    ตรงนี้เป็นใบไม้นอกกำมือ  เจ้าเรียนรู้ไม่หมดหรอกขอบอกไว้ก่อน  สติแตกก่อนน่ะ   ภพมนุษย์ในภพปัจจุบันนี้สมองมันรับได้เท่านี้  สมองนะถึงบอกมันก็รับไม่ได้   และบารมีในการเรียนรู้มันก็มีขีดจำกัด  เพราะฉะนั้น  ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด  มันเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของพวกเจ้าอยู่แล้ว..

(4 จบ)..



...........

ข้อความส่วนหนึ่งที่ถอดจากเทปบันทึกเสียง
ของการให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 6 มีนาคม 2542
ณ เขากะลา  นครสวรรค์
 

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มนุษย์ต่างดาวตอบคำถามเกี่ยวกับจักรวาล

ก่อนเข้าสู่การตอบคำถามของมนุษย์ต่างดาวเกี่ยวกับจักรวาล

พี่สุดใจขอเพิ่มเติมรายละเอียดสักเล็กน้อยนะคะ

ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ จะเห็นได้ว่ามีกลุ่มพลังงานจากนอกระบบโลก จากจักรวาล ไม่ว่าจะเป็น พลังจักรวาล จิตจักรวาล ครายออน มนุษย์ต่างดาว หรือเรียกชื่ออื่นใดก็ตามที่รับการสื่อสารจากจักรวาล จากนอกโลก ที่ได้มีการส่งมาเพื่อสื่อสารกับมนุษย์โลกในหลายกลุ่ม หลายบุคคล เพื่อถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ให้กับมนุษย์โลกคนอื่น ๆ ได้รับทราบ ได้มีการกระจายข่าวสารไปทั่วโลก ผ่านทางหนังสือบ้าง ทางเวปไซด์บ้าง ทางวิทยุโทรทัศน์บ้าง โดยส่วนมากจะสื่อสารมาในรูปแบบ “กลุ่มความคิด” หรือ “กลุ่มพลังงาน” ที่มีการอธิบายกลไกของจักรวาล ซึ่งข้อมูลการสื่อสารดังกล่าวเป็นในรูปแบบใหม่ ๆ ที่มนุษย์อาจไม่เคยได้รับรู้ ได้ยินมาก่อน จึงค่อนข้างเป็นเรื่องแปลก โดยส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบวิทยาศาสตร์ผสมผสานกับทางจิตนั่นเอง

หลายสิ่งที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ อย่างที่มนุษย์ต่างดาวได้บอกว่า ที่เราไม่สามารถเข้าใจได้เพราะ “ความคิดแบบจิตมนุษย์” มาใช้กับจักรวาลยังไม่ได้ เพราะมนุษย์จะมีกรอบจำกัดของการรับรู้ในสิ่งที่ได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัส ด้วยตาเนื้อเท่านั้น ได้เท่าที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เท่านั้น ที่เหลือนอกนั้นก็จะไม่ยอมเปิดใจรับฟัง เพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้น ความคิดนี้จึงอยู่ในวงจำกัด คือตีกรอบไว้เท่านั้น

เพราะโครงการปรับ สมดุลของโลก เพื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่นั้น ได้มีกลุ่มพลังงาน ที่มาทำหน้าที่แจ้งข่าวสารไปยังมนุษย์โลกในหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน นั่นคือสมมุติเรียกกันในแต่ละจุด แต่ละกลุ่ม และข่าวสารจากจักรวาล ที่ได้รับการสื่อสารลงมา แต่ละกลุ่มก็มีกลไกที่จะต้องดำเนินงานไปตาม “ แผน” ที่ได้รับผิดชอบลงมา ซึ่งทุกกลุ่มความคิด ทุกกลุ่มพลังงาน ที่สื่อสารลงมา ก็ย่อมถูกต้องตรงตามเป้าหมายที่ได้รับมาทั้งสิ้น

ที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ไม่แปลกใจในการสื่อสารของทุกกลุ่มพลังงาน ทุกคลื่นความคิดที่ติดต่อกับมนุษย์โลกนั้น เพราะระบบได้มีการอธิบายโครงสร้างโดยรวมให้ทราบถึงที่มาของแต่ละกลุ่ม พลังงานที่สื่อสารลงมาอยู่แล้ว แม้จะไม่ลึกลงในรายละเอียด ใน “ แผน” ของงานที่แต่ละกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ต้องดำเนินการก็ตาม แต่ทุกอย่างที่แต่ละกลุ่มกำลังกระทำ กำลังให้ข้อมูล กำลังดำเนินการต่อเนื่องอยู่นั้น เป็นการทำงานตาม “แผน” ที่ได้มีการวางไว้ของแต่ละกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ทั้งสิ้น โดยไม่มีการผิดพลาด หรือมีการแทรกแซงใด ๆ

เพียงแต่ “แผนงาน” ของแต่ละกลุ่มพลังงาน หรือกลุ่มความคิดนั้น ๆ ที่ได้รับมา จะเป็นรูปแบบไหนเท่านั้นเอง

ดังนั้น ในส่วนที่จะได้นำลงให้อ่านต่อไปนี้ ก็เป็นการตอบคำถามจากมนุษย์ต่างดาว ให้กับผู้ที่ยังสงสัยในเรื่องของกลุ่มความคิด กลุ่มพลังงานต่าง ๆ ที่ติดต่อกับมนุษย์ ได้สอบถามเข้ามาเท่านั้น โดยทางกลุ่มฯ มิได้เจตนาจะก้าวล่วงไปยัง "แผนงาน" ของกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ซึ่งในแต่ละกลุ่มก็ยังคงดำเนินการไปตาม “ แผนงาน” ที่ได้รับมานั่นเอง

ท่านที่ได้อ่านข้อความการสื่อสารต่อไปนี้ อาจต้องใช้การพิจารณาอย่างยิ่งในความเห็นของท่าน กับข้อมูลที่ได้สื่อสารลงมา ซึ่งบางท่านอาจหายสงสัยและมีความเข้าใจในภาพรวมของจักรวาลได้เลย หรือบางท่านอาจไม่พอใจ และยังคงลังเลสงสัยต่อไป ซึ่งในส่วนนี้พี่สุดใจก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า

แต่ทั้งหมดนี้คือ ข้อมูลที่ได้รับการสื่อสารมาจริง จากมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา 


...............................................................

กระทู้ที่ 200507

จิตจักรวาลและครายออนมีจริงหรือไม่ กลุ่มเขากะลากรุณาตอบด้วย

ตามที่กลุ่มของคุณเคยกล่าวอ้างว่ามีสมาชิก 3 คน สามารถสื่อความคิดติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ จึงอยากขอให้ช่วยถามมนุษย์ต่างดาว ผู้มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงไปมากแล้ว ให้ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “จิตจักรวาล” และ “kryon” ว่าเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องเท็จ หากเป็นเรื่องจริง มีรายละเอียดอย่างไร? ความรู้ที่มนุษย์ต่างดาวจะตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้จะเป็นคุณประโยชน์ต่อมนุษย์ ชาติเป็นอย่างมากในการพัฒนาจิตสำนึกของตนเอง

จากคุณ สงสัย ( 24 มิถุนายน 2543)



ตอบ...... ได้อ่านกระทู้ที่เป็นคำถามของคุณสงสัยแล้วค่ะ และได้ทำการสื่อสารคำถามของคุณแล้ว ....คำตอบที่ได้รับคือ จิตจักรวาล หรือ kryon ตามที่ในใจคุณคิดนั้นมีจริง....ในกรณีที่คุณต้องการทราบว่ามีการสื่อสารกับ จิตจักรวาลจริงหรือไม่นั้นตอบว่า...จริง....นัยยะของคำตอบนี้คือ คุณต้องเข้าใจว่า สมมุติภาษาในการเรียกชื่อนั้นมีอยู่ เช่น ถ้าเพื่อนของคุณชื่อว่า.... ราชา ... คุณจะเข้าใจว่าเขาชื่อราชา ... แต่ไม่ได้เป็นราชา (พระราชา) จิตจักรวาลเป็นการสื่อสารของแหล่งพลังงานจากนอกโลกจริง .... เป็นกลุ่มของพลังงานที่มากระทำการหนึ่ง ๆ ชื่อ จิตจักรวาล เป็นชื่อที่ใช้แทนตัวเพื่อความเข้าใจ เช่นเดียวกับ kryon.
 
.........................................................

คุณสงสัย...    ขอบคุณมากครับ ที่กรุณาสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวให้ ผมต้องขอขอบคุณคุณมนุษย์ต่างดาวผ่านทางคุณด้วย ที่กรุณาให้ความรู้อันมีค่ายิ่งนี้.....คำตอบของมนุษย์ต่างดาว...ราวกับว่า เข้าไปนั่งอยู่ในจิตใจของผม....รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่...amazing !!! ผมยังไม่ได้รับข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับจิตจักรวาล ( kryon) เลยครับ โครงสร้างเป็นอย่างไร กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องอย่างไรกับมนุษย์โลก และสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเอกภพอย่างไร?

ผมขอตั้งข้อสมมุติขึ้นมา เรื่องหนึ่งเพื่อตั้งคำถาม .... ถ้ามีมนุษย์คนใดคนหนึ่งสามารถสื่อสารคลื่นความคิดกับจิตจักรวาลได้ ซึ่งในการสื่อสารแต่ละครั้งจิตจักรวาลทื่สื่อสารด้วย ได้ผลัดเปลี่ยนกันมาคนละหน่วย (จิตจักรวาลคนละดวงจะขอเรียกเป็นหน่วยของพลังงานความคิด) โดยไม่ซ้ำกันเป็นส่วนใหญ่ที่มาซ้ำกันก็มี ถ้ามนุษย์สามารถสื่อสารกับจิตจักรวาลได้ คนนั้น ในระยะหลัง ๆ เผลอสติปล่อยให้ “อัตตา อุปาทาน” เข้าครอบงำโดยไม่รู้ตัว ไม่มีสติรู้เท่าทันในกิเลสอันนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ ? ที่อาจจะมีพลังชีวิตบางอย่างที่มีความคิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ (มาร) เข้ามาแทรกสวมรอยเป็นจิตจักรวาล แล้วสื่อสารให้ความรู้ผิด ๆ แก่มนุษย์ผู้นั้น โดยมุ่งหวังให้คนทั่วไปเสื่อมศรัทธาในมนุษย์ผู้นั้น เพื่อที่คนทั่วไปจะได้เสื่อมศรัทธาในเรื่องราวของจิตจักรวาลทั้งหมด เพราะเมื่อคนทั่วไปเสื่อมศรัทธาในผู้ที่สื่อสารเสียแล้ว ก็ย่อมเสื่อมความนับถือในข้อมูล ความรู้ทั้งหมดโดยไม่แยกแยะด้วย เช่นการให้ข้อมูลความรู้ผิด ๆ เกี่ยวกับภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นกับโลกโดยระบุวันเวลาผิด ๆ หรือสถานที่ผิด ๆ ที่จะเกิดภัยพิบัตินั้น ๆ ขอความกรุณาเรียนถามมนุษย์ต่างดาวด้วยครับ ... จักขอบคุณยิ่ง

จากคุณ สงสัย ( 27 มิถุนายน 2543)


ตอบ... สวัสดีค่ะ คุณสงสัย

ในการฝึกทางจิตเพื่อติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ก็ต้องเรียนรู้เรื่องการคิดแบบจิตมนุษย์ เพื่อที่จะไม่คิดแบบจิตมนุษย์ (ในการเรียนรู้ศาสตร์ของจักรวาล ก็คล้ายกับการเรียนภาษาปกติ เราใช้ภาษาไทย แต่เมื่อเราต้องการเรียนภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เราจะเรียนได้ดีก็ต่อเมื่อเปิดใจยอมรับความแตกต่างที่ต้องมี โดยไม่มีข้อแม้ ทั้งการเขียน การอ่าน สำนวนที่ใช้เพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ)

การที่คุณสงสัย ต้องการทราบเรื่องเกี่ยวกับ “จิตจักรวาล” ที่มีการสื่อสารกับมนุษย์อยู่ในขณะนี้ ก็ต้องใช้พื้นฐานการรับฟังอย่างที่กล่าวมาข้างต้นด้วยเช่นกัน คุณได้ถามถึงโครงสร้างการกำเนิด และความสัมพันธ์เกี่ยวกับมนุษย์และเอกภพของจิตจักรวาล ก่อนอื่นขอทบทวนข้อมูลเบื้องต้นเพื่อความเข้าใจตรงกัน....

ผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิดจาก “จิตจักรวาล” คือ อ.ปริญญา ตันสกุล ท่านทำงานที่ศูนย์พัฒนาพฤติกรรมมนุษย์(HMDC) ถ่ายทอดคลื่นความคิดออกมาพิมพ์เป็นหนังสือจิตจักรวาล series 1 – 7 มีชื่อเฉพาะของแต่ละเล่ม เช่น จิตจักรวาล series 2 ความลับเบื้องหลังมิติโลก จิตจักรวาล series 4 อภิปรัชญามนุษย์มิติคู่ขนาน และบนหน้าปกของทุกเล่ม เขียนว่า 1 ใน 7 ของโลกที่ได้รับการถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจักรวาล......

ผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิดจาก “kryon” คือ Mr.Lee Carroll เป็นนักธุรกิจชาวแคลิฟอร์เนีย จบปริญญาสาขาบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ ได้รับสื่อสัญญาณจาก “ครายออน” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1989 (พ.ศ.2532) และได้ตัดสินใจแปลถ้อยคำ “ครายออน” พิมพ์เป็นหนังสือเล่มแรก เขียนขึ้นในปี 1992 (2535)

เล่มที่ 1 ยุคแห่งการสิ้นยุค
เล่มที่ 2 จงอย่าคิดเหมือนมนุษย์ทั่วไป
เล่มที่ 3 การผันแปรของวิญญาณ
เล่มที่ 4 นิยามเปรียบเทียบของครายออน

หนังสือครายออน เป็นหนังสือที่ขายดีระดับ เบสท์ เซอเลอร์ แปลเป็นภาษาต่างประเทศมากมาย และมีวางขายในกว่า 10 ประเทศ ในประเทศไทยพิมพ์ (ภาษาไทย) ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2540 คนไทยจึงได้มีโอกาสรับรู้ข่าวสารจาก “ครายออน” ตั้งแต่นั้นมา
 
.........................................................

(ตอบคำถาม...ต่อ)

ความคล้ายคลึงของจิตจักรวาล และครายออน คือเป็น “กลุ่มความคิด” หรือ “กลุ่มพลังงาน” ที่อยู่นอกระบบโลก และได้ส่งข่าวสารให้มนุษย์โลกได้รับทราบว่าขณะนี้ได้มีการกระทำบางอย่างกับ ระบบโลก เพื่อวางโครงข่ายแม่เหล็กครั้งใหม่ของโลก เพื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ (รายละเอียดมีจำนวนมากพิมพ์เป็นหนังสือหลายเล่ม เพราะอธิบายในหลายเรื่องที่มนุษย์ไม่รู้)

เมื่อคุณถามถึงโครงสร้าง และการกำเนิดของจิตจักรวาลนั้น ท่านได้สื่อสารให้คุณคิดตามโดยอยู่บนพื้นฐานของสัจธรรม ซึ่งเป็นอกาลิโก คือ ไม่เนื่องด้วยเวลา สัจธรรมชั้นสูงที่คุณคงได้รับทราบมาบ้างในคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้จนเข้าถึง ความจริงที่ว่า“ในที่สุดแล้วก็ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา”คือทุกสิ่งเป็นของที่สมมุติ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เปลี่ยนแปลงไป) ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัยการที่จะเกิดขึ้น จะตั้งอยู่ และจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้น เราไม่สงสัยในคำว่า เทพ, พรหม เพราะเราเคยได้ยินได้ฟังและพอจะเข้าใจได้ แต่ที่เรายังไม่เข้าใจจิตจักรวาลก็เพราะเราไม่คุ้นเคย เนื่องจากอาจเป็นเรื่องใหม่ในการรับรู้ของเรา ขอให้คุณลองมองดูรูปแบบชีวิตรอบตัวของคุณดูสิ สิ่งมีชีวิตมีหลายรูปแบบและมีความแตกต่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่น ปลา นก มด สิ่งที่รูปแบบชีวิตเหล่านี้มี มนุษย์ไม่มี ก็เพราะเรามีกายเป็นมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะเด่นด้านอื่นที่ ปลา นก มด ไม่มี พระพุทธองค์เรียกรูปแบบชีวิตทั้งมวลว่า “สัตว์โลก” ไม่ว่าจะมีกายหยาบหรือกายละเอียด รวมไปจนถึงชั้นไม่มีรูป เช่น อรูปพรหม และถ้าจะมีมนุษย์ต่างดาว หรือพลังงานรูปแบบอื่นไม่ว่าจะเรียกแทนตัวว่าอะไร ก็ล้วนเป็น “สัตว์โลก” (ในความหมายของท่านทั้งสิ้น)

ในจิตจักรวาล series 4 ได้กล่าวถึงรูปธรรมชั้นสูงที่มอบความรักให้แก่มนุษย์ (จิตจักรวาล) ซึ่งมีชื่อเรียกดังนี้


รูปธรรมกลุ่มเพลียะเดี๊ยนส์
รูปธรรมกลุ่มแซจิตตาเรียนส์
รูปธรรมกลุ่มแอนทาเรียนส์
รูปธรรมกลุ่มอาร์คทอเรียนส์


รูปธรรมชั้นสูงเหล่านี้ เดินทางมาจากกลุ่มดาวต่าง ๆ เช่น กลุ่มดาวลูกไก่ กลุ่มดาวแมงป่อง กลุ่มดาวรูปคนเลี้ยงสัตว์ เป็นรูปธรรมที่มีจิตวิญญาณชั้นสูง สามารถจะเดินทางไปไหนมาไหนได้ทั่วจักรวาล สามารถเข้าสู่มิติกาลเวลาโลก หรือมิติที่สูงกว่าได้ รูปธรรมกลุ่มแอนทาเรียนส์ และกลุ่มเพลียะเดียนส์ เคยมีรูปธรรมเป็นมนุษย์มาก่อน ต่อมาได้ยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้น สามารถสลายกายหยาบของตนสู่มิติพลังงาน และรวมมวลสู่กายหยาบได้ 

...........................................................




สำหรับความสัมพันธ์กับมนุษย์โลกและเอกภพนั้น ในภาพรวมที่แท้นั้น มวลชีวิตทั้งหมดล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมดแต่มนุษย์อาจยอมรับหรือ เข้าใจได้เป็นบางอย่าง เช่น มนุษย์ยอมรับความสัมพันธ์ของ พี่ – น้อง ที่คลอดจากแม่เดียวกันได้ โดยไม่ข้องใจ แต่ถ้าจะถามว่า ต้นจำปี กับต้นขนุน ที่ขึ้นมาจากพื้นดินเดียวกัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือแม่ (พระธรณี) เดียวกัน มีความสัมพันธ์กันไหม......

คงมีคำตอบหลากหลาย แต่คุณคงพอจะมองออกถึงความสัมพันธ์กันอย่างกว้าง ๆ ของวงศ์วานแห่งเอกภพ ว่าทำไมจิตวิญญาณชั้นสูงเหล่านี้ จึงบอกว่าพวกเขาได้เข้ามาสู่จักรวาลโลก เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในการสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลในมิติที่สูงกว่า เมื่อจิตวิญญาณสูงขึ้น สิ่งที่เคยสละยาก ก็สละได้ง่ายขึ้น สิ่งที่เคยสงสัย.......ก็เข้าใจ สิ่งที่เคยให้อภัยไม่ได้ก็กลายเป็น....ไม่เป็นไร ทุกข์มากก็กลายเป็น....ทุกข์ยาก และอื่น ๆ อีกมาก

ปัจจุบัน มนุษย์มีความรู้สึกแปลกแยกกันมากอย่างผิดปกติ อย่างรุนแรง ก็ศึกเชื้อชาติ ศึกศาสนา การมุ่งทำลายชีวิตเพราะเห็นแก่วัตถุ (สิ่งไม่มีชีวิต) ปัญหาทางโครงสร้างของสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความไม่รู้จริง (อวิชชา)

ในขณะที่ผู้รู้ทั้งหลาย ได้ส่งข่าวสารมาในรูปแบบต่าง ๆ ถึงกระบวนการที่จะต้องกระทำ (และได้กำลังกระทำแล้ว) กับระบบโลก

สุดท้ายคำถามที่คุณสงสัยว่าอาจมีการแทรกแซงจากจิตวิญญาณที่ไม่หวังดี หรือ “ มาร” นั้น ขอให้รับทราบข้อมูลไว้ว่า ทุกอย่างอยู่ใน “แผน” ทั้งสิ้น ไม่ใช่อย่างที่คุณวิตกหรอก แต่ที่คุณจะไม่เข้าใจก็ตรงที่ความสลับซับซ้อนของ “แผน” ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ในขณะที่กำลังดำเนินการอยู่

แต่ “แผน” ที่คล้ายกันนี้ มนุษย์ต่างดาวก็ใช้บ่อย (มากกว่า 20 ครั้ง) ในขั้นตอนการคัดบุคคลเพื่อฝึกทางจิต จนปัจจุบันก็ยังเฉลยไม่หมด เพราะบาง “แผน” ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ (ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการ)

“แผน” ที่มนุษย์ไม่เข้าใจนี้ เปรียบได้กับตัวอย่างเหล่านี้ เช่น ถ้ามนุษย์มีความสุขจากการกิน ก็คือ ได้กินอาหารอร่อย รสชาติถูกใจ แต่จักรวาลมองว่า การติดในรสชาติอาหารเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง และถ้าได้กินอาหารอร่อย ทุกข์ยิ่งฝังรากลึกลงไปอีก (ความติดในรสเพิ่มขึ้น เหมือนพ่อ-แม่ เห็นลูกกำลังเคลิบเคล้มในยาเสพติด, ลูก – บอกว่านี่คือสุข แต่พ่อ – แม่บอกว่านั้นไม่ใช่สุข เป็นทุกข์ต่างหาก)

การเรียบเรียงคำ ตอบได้ผสมผสานระหว่างข้อมูลจากการสื่อสาร เรียบเรียงตามแบบที่มนุษย์(ผู้พิมพ์) อ่านแล้วทำความเข้าใจได้ง่าย มีการยกตัวอย่างประกอบ และข้อมูลที่จำเป็นต้องกล่าวในตอนต้น ๆ ก็มีอยู่ในหนังสือที่ข้อมูลนั้น ๆ อยู่ ขอให้คุณ “สงสัย” อ่านแล้วใช้การพิจารณาของตนเอง หากมีความไม่เคลียร์ในคำอธิบายบางเรื่อง ก็ขอให้ตั้งกระทู้ถามมาใหม่ได้ค่ะ ขอจบการพิมพ์คำตอบเพียงแค่นี้ สวัสดีค่ะ

จากคุณ คำตอบตอนที่ 2 ของกลุ่มเขากะลา ( 6 กรกฎาคม 2543)
 
...................................................

พี่สุดใจคงต้องขอนำข้อมูลที่มีการถาม - ตอบไว้ในเวปไซด์ sanook.com ในหมวดมิติพิศวง ในปี 2543 มาลงต่อเนื่องอีก   อาจเป็นการลงข้อมูลที่ค่อนข้างมากในครั้งนี้   แต่จะเป็นการตอบคำถามที่หลายท่านกำลังสงสัยอยู่เช่นกัน

ซึ่งในช่วงต่อไปนี้ นับเป็นข้อมูลที่น่าสนใจทีเดียว

ซึ่ง ผู้ถามในครั้งนั้น  ใช้ชื่อว่า ....  คุณสงสัย   ต้องการอยากทราบเรื่องราวของกลุ่มพลังงานจากนอกระบบโลก ที่ส่งคลื่นความคิดมาติดต่อกับมนุษย์

และ....มนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารกับกลุ่มเขากะลา...ในขณะนั้น   ได้สื่อสารข้อมูลลงมา...ตอบคำถาม...ที่ได้สงสัยนั้น

ซึ่งคำถามจากบุคคลหนึ่งที่สงสัย และมีการตอบคำถามแล้วนั้น ท่านอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นผู้ถาม แต่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน ก็มีโอกาสได้รับทราบไปด้วย อาจเปิดมุมมองใหม่ ๆ และเข้าใจในกลไกของจักรวาลได้มากขึ้น
 
......................................................

ขอให้กลุ่มเขากะลาตอบคำถามเกี่ยวกับจิตจักรวาล

ผมขอยืนยันให้ช่วยตอบคำถามใน xfiles 200574 ครับ โดยผมได้ลอกคำถามค้างการตอบมาลงในกระทู้นี้ครับ

มนุษย์ต่างดาวท่านยืนยันหรือไม่ว่า เรื่องราวข้อมูลความรู้ในหนังสือจิตจักรวาลทั้ง 7 series เป็นความจริง และจริง 100 % หรือจริงกี่ % ในแต่ละ series มี errors บ้างหรือไม่ ? ในการที่จิตจักรวาล kryon ได้สื่อสารผ่านมนุษย์บางท่าน เพื่อส่งผ่านความรู้มายังมนุษย์นั้น จิตจักรวาลก็ต้องการให้มนุษย์พิจารณาไตร่ตรองแล้วตัดสินใจเชื่อในเรื่องราว ข้อมูลความรู้ที่ได้สื่อสารมาให้มิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงต้องวางแผน และดำเนินการเพื่อให้มนุษย์เสื่อมศรัทธาในเรื่องราวของจิตจักรวาลด้วยล่ะ ครับ? มันขัดแย้งกันเองครับ !

ที่กล่าวว่าเป็น “แผน” นั้น ผมก็เคย “แว๊บ” คิดขึ้นมาในสมองเหมือนกัน แต่เมื่อคิดหาเหตุผล (แบบจิตมนุษย์) แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะค้นหาวัตถุประสงค์ เป้าหมายไม่ได้ว่าเพื่ออะไร ?

ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็น “แผน” แล้วความสงสัยของมนุษย์คนหนึ่ง ดังเช่นตัวผม อยู่ในส่วนหนึ่งของ “ผล” ที่เกิดจาก “แผน” ด้วยหรือไม่ครับ ?

ผมเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ที่กำลังจะพยายามจะไม่เป็นคนงมงาย (ซึ่งจิตจักรวาลก็ต้องการให้มนุษย์เป็นคนไม่งมงายมิใช่หรือ ดังนั้นการที่ผมมีความสงสัยข้องใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็น่าจะเป็นไปตามวิถีทางที่ถูกต้องของการพยายามที่จะเป็นมนุษย์ที่ไม่งม งายมิใช่หรือครับ?)

มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มของคุณติดต่อสื่อสารด้วย ท่านเป็นหนึ่งในสี่ประเภทของรูปธรรม มนุษย์ต่างดาวที่คุณกล่าวถึงหรือไม่ (หนังสือจิตจักรวาล series 4) เทพ พรหม จะสามารถเดินทางไปทั่วเอกภพ ดังเช่นมนุษย์ต่างดาวทั้งสี่ประเภทได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้เพราะเหตุใด?

ในตอนสุดท้าย ที่คุณเปรียบเทียบ “แผน” กับ “รสชาดอาหาร” ไม่ทราบว่าคุณพยายามบอกเป็นนัย ๆ ว่า จักรวาลไม่ต้องการให้มนุษย์ติดหลง/ลุ่มหลง ในเรื่องราวของจิตจักรวาลหรืออย่างไรครับ?

ขอขอบคุณ กลุ่มของคุณ และมนุษย์ต่างดาวเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาให้ข้อมูลความรู้อันมีค่ายิ่งเหล่านี้ครับ.

จากคุณ สงสัย ( 17 กรกฎาคม 2543)
 
.......................................................

ตอบ คุณสงสัย

กลุ่มเขากะลาได้มีการสื่อสารกับรูปธรรมต่าง ๆ ดังนี้

1 . มนุษย์ต่างดาวที่มาจากต่างจักรวาล ได้ระบุว่าชื่อ “โลกุกะตาปากะดิกอง”

2 . มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาล (อยู่ในรูปแบบของจิตวิญญาณชั้นสูง) ได้ระบุว่าชื่อที่เรารู้จักคือ“ดาวพลูโต” ไม่ได้เป็นหนึ่งในสี่ของรูปธรรมที่ในหนังสือกล่าวถึง แต่ท่านได้ให้ข้อมูลที่คุณ “สงสัย” ถามมาในกระทู้ก่อน และได้บอกให้คุณเข้าใจไว้ก่อนแล้วว่า มันจะใช้ความคิดแบบจิตมนุษย์มาชี้ ผิด – ถูกไม่ได้ เพราะมนุษย์มักด่วนสรุปทุกสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) และตัดสินใจทางใดทางหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว และเมื่อมีการกระทบครั้งใหม่ก็มักจะทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ถึงแม้ว่าการตัดสินใจอาจจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง แต่หลักการกระทบก็ยังเหมือนเดิม

ในการฝึกบุคคลของมนุษย์ต่างดาว จึงเน้นให้ผู้ฝึกใช้ปัญญาเป็นสำคัญในการพิจารณาความแตกต่างของความผิดปรกติ (ถ้าไม่พิจารณาก็ไม่รู้) อย่างง่าย ๆ ก็เช่นวัตถุบินที่สิ่งห์บุรีตอนกลางคืนในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง (ระหว่าง 21.00 – 22.00 น.) มีวัตถุบินมาในทิศทางเดียวกัน ระยะเวลาห่างกันประมาณ 10 กว่านาที บิน 4 ลำ เปิดไฟแตกต่างกันทั้ง 4 แบบ (ถึงคุณจะดูจากวีดีโอ คุณก็จะเห็นความแตกต่างของไฟชัดเจน)

ถ้าคุณรู้จักความปรกติของ เครื่องบิน คุณก็จะพบว่าสิ่งที่คุณเห็นไม่ใช่เครื่องบินแน่นอน แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องรีบสรุปว่าเป็นจานบิน ขอแค่ให้คุณแยกให้ออกว่ามันไม่ใช่เครื่องบิน คุณก็จะเริ่มเรียนรู้ในการพิจารณาข้อมูลใหม่ ๆ ที่ไม่ธรรมดาได้มากขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องไปฝึกอะไร เพิ่มแค่จับหลักความธรรมดา และไม่ธรรมดาให้เป็นแค่นั้นเอง (ในวันนั้นก็มีช่างเครื่องบิน และผู้บริหารสายการบินออกมายืนยันว่าไม่ใช่เครื่องบินแน่นอน เพราะท่านรู้ว่าธรรมดาของเครื่องบิน จะบินแบบที่เห็นนี้ไม่ได้)

จากคุณ .... คำตอบช่วงที่ 1 จากกลุ่มเขากะลา ( 17 กรกฎาคม 2543)




ตอบ คุณสงสัย

ข่าวสารจากจิตจักรวาล และครายออน ที่สื่อสารผ่านมนุษย์นั้น เป็นการบอกให้มนุษย์ได้ทราบข่าวสารไว้ เพราะมนุษย์จะต้องเป็นผู้มีส่วนรู้สึกได้ถึงกระบวนการที่จะต้องเกิดขึ้นจาก การวางระบบ ถ้าจะเปรียบเทียบก็คล้ายกับเวลาที่รัฐบาลจะขยายถนนเพื่อพัฒนาเมืองให้มีการ สัญจรสะดวกรวดเร็วกว่าเดิม ก็จะมีการวางโครงการ (แผน)

การแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่จะต้องได้รับผลกระทบนั้นทั้งทางตรง และทางอ้อมได้รับทราบไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน ก่อนที่จะขุดถนนเก่าออกเพื่อทำใหม่ให้แข็งแรงกว้างขวางกว่าเดิม

ข่าวสารที่คุณได้อ่านในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีการกระทำตามโครงการต่อไป ข่าวสารที่คุณได้อ่านจริง 100 % สำหรับผู้แจ้งข่าวสาร แต่สำหรับผู้รับข่าวสารมีสิทธิที่จะคิดไปในแบบใดก็ได้ แต่จะไม่มีผลไปยับยั้ง หรือเพิ่มเติมกระบวนการนั้น ๆ ได้เลย

คำตอบช่วงที่ 3 จะอธิบาย “แผน” ที่คุณยังสับสนอยู่ค่ะ

จากคุณ.... คำตอบช่วงที่ 2 จากกลุ่มเขากะลา ( 18 กรกฎาคม 2543)
 
...................................................

ตอบ คุณสงสัย

“แผน” ที่คุณคิดว่าไม่เข้าใจนั้น เรื่องมันเกี่ยวโยงไปถึงเจตนาของจิตจักรวาลในการมาทำภารกิจที่ได้แจ้งให้ ทราบไว้แล้ว (คือการช่วยเหลือโลกมนุษย์ในการยกระดับคลื่นแม่เหล็กโลกให้สูงขึ้น)

มหันตภัยธรรมชาติจะค่อย ๆ เพิ่มความถี่และความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนของโลกคือ ประเทศและทวีปที่รุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยี   เมืองที่อุดมด้วยศาสนาและผู้คนมีจิตสำนึกอันสูงส่งจะได้รับเคราะห์ภัยน้อยกว่าประเทศอื่น

“มหันตภัย” ที่มนุษย์ต้องเผชิญโดยตรงและโดยอ้อม จะสร้าง “ความกลัว” ให้เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ เพราะ “ความกลัวตาย” (แบบจริงในจิต) จะน้อมนำให้มนุษย์เกิดการ “กลัวคนอื่นต้องตาย” เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และทำให้มนุษย์เกิดความรักความห่วงใยโลกกันขึ้นมาได้ นั่นคือ “กุศลโลบายที่สำคัญ” เพื่อต้องการให้มนุษย์โลกปล่อยพลังงานด้านบวกออกมาด้วยจิตสำนึกแบบรวมหมู่ อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมีหายนะจากมหันตภัยธรรมชาติเป็นเครื่องมือเพื่อยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ที่ดิ่งเหว สูงขึ้นให้จงได้

หนังสือที่พิมพ์ขึ้นมาจากการถ่ายทอด คลื่นความคิดได้ย้ำว่า “ไม่ต้องการให้ผู้อ่านคิดแบบจิตมนุษย์” โดยมีเป้าหมายของความ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” กุศลโลบายสร้าง “ความกลัว” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับจิตจักรวาล แต่ถ้ามนุษย์จะมองไปในทาง “ความศรัทธา – เชื่อ” หรือ “ความเสื่อมศรัทธา – ไม่เชื่อ” ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ใช่เป้าหมายของจิตจักรวาลอยู่แล้ว

การมองต่างมุมนั้น (เห็นด้วย – ไม่เห็นด้วย) เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ด้วยกันเองก็พบเห็นได้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงไม่แปลกถ้าจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของจิตจักรวาล เพราะมิติความคิดขั้นพื้นฐานก็ต่างกันอยู่แล้ว

การเปรียบเทียบความแตกต่างนี้ ได้พูดถึงเรื่องรสชาดอาหาร.. มนุษย์เรียกว่า “ความสุข” ถ้าได้รับอาหารที่ชอบ หรือรสชาดที่ตนพอใจ...อีกมุมหนึ่งของผู้รู้ มองว่าความพอใจในรสชาดอาหาร คือความยึดติดอย่างหนึ่ง ท่าน “ไม่เรียกว่าความสุข” เพราะการยึดติดนั้นเป็นทางแห่งทุกข์....การมองต่างมุมนี้เกิดขึ้นตามหลัก ปัจจัยที่ต่างกัน ผลที่ออกมาจึงไม่เหมือนกัน นับเป็นเรื่องธรรมดาของโลก

คุณสงสัย อ่านคำตอบทั้งสามช่วงแล้ว อาจเข้าใจในเรื่องหนึ่ง และไม่เข้าใจในเรื่องหนึ่ง หรือมีคำถามต่อไปอีก ก็ตั้งกระทู้ถามขึ้นมาใหม่ได้ค่ะ กลุ่มเขากะลายินดี “ทำหน้าที่” ในการสื่อสาร และเผยแพร่ข้อมูลค่ะ

จากคุณ. คำตอบช่วงที่ 3 จากกลุ่มเขากะลา (19 กรกฎาคม 2543)


คุณสงสัย...ขอบคุณครับ สำหรับคำตอบจากคุณกลุ่มเขากะลา และท่านโลกุกะตาปากะดิกอง ผมยังไม่หมดคำถามหรอกครับ และจะตั้งกระทู้ใหม่ถามต่อไป..... คงจะต้องถามกันอีกนานนะครับ......

จากคุณ. สงสัย ( 20 กรกฎาคม 2543 ) 
 
............................................................

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องของอาวุธนิวเคลียร์


เรื่องของอาวุธนิวเคลียร์  ที่มนุษย์ต่างดาวได้เคยกล่าวไว้ว่า  เมื่อปี 2541 (12 ปีที่ผ่านมา)

ข้อความส่วนหนึ่งของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้  ณ เขากะลา 
วันที่ 10 ตุลาคม 2541
.....

สิ่ง ที่ข้าพเจ้าจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้านั้น ได้เคยกล่าวไว้แล้วในกาลก่อน มีในบันทึกนะ ก็จะบอกอีกสักครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้าจะมาช่วยทั้งเทคโนโลยี ซึ่งเป็นวัตถุที่เจ้าเห็นกัน และมาทั้งพระญาณ ซึ่งผ่านร่างที่เป็นมนุษย์เพื่อสื่อสาร

การ อยู่ช่วยเหลือของข้าพเจ้า ก็จะช่วยเหลือตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ อย่างเช่นในขณะนี้ มาให้พวกเจ้าเห็น มาให้พวกเจ้าเชื่อตามแต่บารมี ท่านที่มีบารมีตามแต่วาระจิต ก็จะได้เห็นข้าพเจ้าในความชัดเจน

เจ้าคนที่ถามครั้งก่อนนี้ ก็ไปถามเขาดู เขาได้เห็นความชัดเจนมาก

และสำหรับการที่จะอยู่ช่วยเหลืออันดับแรกนอกจากในขั้นต้นนี่นะ.... มาให้พวกเจ้าเห็นกันนะ


สงครามโลกของพวกเจ้าก็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว ไม่อย่างนั้นแล้ว โลกมนุษย์ของเจ้ามันคงพังพินาศกันไปมากกว่านี้  ถ้าไม่ได้รับการสกัดกั้นด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว   จากจักรวาลโลกุกะตาปากะดิกอง และจักรวาล และจากพระญาณ และยานฯ อวกาศของข้าพเจ้า

ส่วน ที่ 3 ก็คือ ช่วงในการเกิดภัยพิบัติ จะมีความโกลาหลวุ่นวายมากมายกันเหลือเกินในโลกมนุษย์ของพวกเจ้า ตอนนี้ก็ถือดีกันอยู่ แต่พอตอนนั้นจะเหมือนลูกหมาตกน้ำ... หมดแล้ว...ลาภยศ...ไอ้ที่มันลดยาก มันจะลดลงไป หลุดลงไปเลย มันไม่มีแล้ว เหลือแต่ตัว ตัวเองก็แทบจะมากันไม่ถึง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก็จะกระเซอะกระเซิง เป็นที่น่าเวทนา

เพราะ ว่าพวกข้าพเจ้า เมื่อหลังเกิดภัยพิบัติ และจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้าจนสามารถตั้งตัวกันได้  แล้วก็จะต้องถอนทัพกลับไป เพราะไม่สามารถจะอยู่ได้เลยตามกฎธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น การมาช่วยเหลือนั้น   
ตั้งแต่ก่อนเกิด  
จนเกิดภัยพิบัติ จะอยู่กับเจ้านี่แหละ..... 
และหลังจากเกิดภัยพิบัติ ก็จะอดอยาก ยากแค้น แร้นแค้นกันแล้ว เทคโนโลยีของข้าพเจ้า ก็จะนำมาให้พวกเจ้าในการดำรงชีวิตอยู่ในปัจจัย 4
...................................................

ข้อความจากต่างดาวตอน 9 จบ



ข้อความจากต่างดาว.... ตอน 9 จบ.
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่  9  จบ. )
...

(คุณ วิโรจน์) ท่านว่าในการนั่งสมาธิ  ให้ไปในหนทางแห่งการใช้ปัญญา  หมายความว่า  ที่จะเรียกปัญญาก็เหมือนท่านบอกว่าเป็นปัจจัตตัง อย่างนี้ใช่ไหมครับ  พอรู้แจ้งด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งหมด  ก็เท่ากับเป็นตาทิพย์ อย่างนี้ใช่ไหมครับ.
 
(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เออ...ตาทิพย์มันมีหลายอย่างนะ  สมมุติเจ้าตาทิพย์ สมมุตินะ  เจ้าตาทิพย์ มองจากที่นี่  มองเห็นยานอวกาศของข้าพเจ้า  บึงบอระเพ็ดเต็มไปหมด   กับการที่ใช้ปัญญา  เขาเรียกว่ามีปัญญา  ปัญญาญาณเนี่ย...ไม่เห็น  มองไม่เห็นนะ  แต่ว่ามีปัญญารู้ว่า  ที่ท่านเหล่านี้มา  มันมีความสำคัญแค่ไหน  มันมีความลึกซึ้งแค่ไหน  ใช้ปัญญามองลงไป  ความเพียรพยายามของเทพทั้งหลาย  ความสำคัญของญาณใหญ่ทั้งหลาย  มองด้วยปัญญาของตัวเอง  โดยไม่ต้องไปมองเห็นรูปร่างยาน  รูปร่างภายนอก   
 
แต่การมองด้วย ปัญญาแบบนี้  ข้าพเจ้าสรรเสริญมากกว่าการเพ่งแล้วเห็นยานอวกาศของข้าพเจ้าในสมาธิของพวก เจ้า   การมองด้วยปัญญาของเราตอนนี้  เราก็มองได้  ไตร่ตรองไปเยอะ ๆ มองให้มันแยบคาย  ให้ลึกซึ้ง  ว่าท่านทั้งหลายที่มาในขณะนี้  ที่นี่จะสำคัญเพียงไร  เทพทั้งหลายก็ลงมาจากเทวโลก  มนุษย์ต่างดาวก็มาจากที่ไกล  มาด้วยความยากลำบากเพียงไร
 


ข้า รู้นะ ร่างพระพิฆเณศร์ (จ.ส.อ.เชิด) ในสมัยที่ท่านได้พูดมา  ได้รับรู้น่ะว่าท่านนั่งสมาธิแบบนี้  นี่เป็นตัวอย่างได้  ท่านนั่งสมาธิไปนะ  นั่งนิ่ง ๆ วิธีไหนของเจ้าก็แล้วแต่  ท่านนั่งพุทเข้า โธออก  แล้วท่านก็ทำไงรู้มั๊ย....ท่านก็ไตร่ตรอง  โอ...ร่างกายเรานี้หนอ  มันไม่เที่ยง  มันทรุดโทรมไป  อนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา  ท่านพิจารณาสังขาร  เออ...มันไม่เที่ยงนะ  นั่งแล้วมันก็เมื่อยได้  ในร่างกายเรามันก็มีสิ่งไม่สวยไม่งาม  เพราะฉะนั้น  นี่คือสิ่งที่ท่านทำดีแล้ว  เทพทั้งหลายอนุโมทนา 

เพราะ ฉะนั้น  พวกเราล่ะ   ทำไมไม่ทำอย่างท่าน  เห็นไม่เห็นไม่เป็นไร  แต่พอจิตสงบ  มาดูซิ...มาดูความเป็นจริงซิ  ร่างกายของเรามันก็เท่านี้  พอ 30 แล้วร่างกายมันก็เหี่ยว  พอ 40 แล้วร่างกายมันก็เหี่ยวมากขึ้น  50 มันก็เหี่ยวมากขึ้น  มันดึงกลับไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้น  มันก็เป็นไปตามหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอนนะ  ไปไม่กลับ  หลับไม่ตื่นนะ  อีกหน่อยก็ต้องนึกถึงกันทุก ๆ คน  แล้วทำไมล่ะ  เวลาที่เหลือ  เราไม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงจิตของเรานะ  หน้าที่การงานของแต่ละคน  แยกย่อยกันไปแต่ละอย่าง  แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงจิตของตัวเรา  ทำได้ทุกวินาที  ตอนนี้ก็ทำได้ 

สิ่ง สำคัญที่ท่านสอนก็คือ  อย่าไปคิดร้ายใคร  ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู  และอย่าไปพูดว่าร้ายใครนะ  ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู  เสร็จแล้วก็อย่าไปทำร้ายใคร  อันนี้ก็สำคัญนะ  ไว้ป้องกันตัวเองนะ อย่างนี้   เราทำดีได้มาก  ได้น้อยเท่าไรไม่ว่า  แต่อย่าไปคิดร้ายใคร อย่าไปทำร้าย  อย่าไปว่าร้ายใครนะ    เพราะฉะนั้น  สิ่งที่คนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นมหาโจร  ก็เป็นไปตามกรรมของเขา  เราก็รู้ไปตามหลักกฏแห่งกรรมนะ  อย่าไปว่าเขา  อย่าไปซ้ำเติมเขา  ถ้าช่วยเขาไม่ได้ก็ปลงสังเวชไปนะ 

อันนี้นะ  ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนานะ  พระพุทธองค์น่ะ  ท่านไม่คิดร้ายใคร  ไม่ว่าร้ายใครนะ  ท่านไม่ทำร้ายใครนะ  พญามารมาแกล้งท่าน  ท่านก็ไม่ว่าร้ายนะ  ไม่คิดร้ายนะ  เพราะฉะนั้น  เราเป็นศิษย์พระพุทธองค์ ทำตามแบบนี้  ธรรมะ..ชนะ..อธรรม  เสมอนะ  แต่ใช้เวลาหน่อยนะ

เออ...วันนี้ได้ประโยชน์กันไปเยอะนะ  แต่ใครจะคุ้มค่ามากก็คือคนที่เอาไปไตร่ตรอง  ธรรมะนี่มันสำคัญยิ่งกว่าทองนะ 

....สมควรแก่เวลา  ทุกท่านในที่นี้ เดี๋ยวรับบารมีจากข้าพเจ้า .... เปิดใจรับบารมีจากข้าพเจ้าโดยพร้อมเพรียงกันด้วยเทอญ

...

ตอน 9 (จบ)
.......


จบการให้โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  วันที่  10  ตุลาคม  2541 
ณ เขากะลา  จังหวัดนครสวรรค์

การให้โอวาท  ในวันที่ 10  ตุลาคม 2541  ได้นำข้อความมาถ่ายทอดให้ทราบจบไปแล้ว...ในส่วนของเนื้อหาที่สำคัญ
หากมีโอกาส  จะนำข้อความในส่วนสำคัญชุดอื่น ๆ มาให้ท่านที่สนใจได้รับทราบต่อไป

น่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถทำได้  โดยเน้นการไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธองค์เป็นหลัก 
และเป็นการปฏิบัติที่หลายท่านเมื่อทำความเข้าใจได้ตรง  ก็สามารถปฏิบัติได้ในทันที

มนุษย์ ต่างดาว จากดาวพลูโต ท่านมีอายุยืนหลายหมื่นปี  ท่านรับรู้เรื่องราวบนโลกมนุษย์นี้นานมาแล้ว  ตั้งแต่ในสมัยก่อนพุทธกาล  ดังนั้น  ท่านจึงเห็นการปฏิบัติในแนวทางที่ตรงแก่น  คือการใช้ปัญญาพิจารณาในธรรม  เป็นหลัก

การสอนในกฏธรรมชาติ จากมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลานั้น  มุ่งเน้นให้ผู้ที่มารับฟังธรรมได้เห็นในกฏของธรรมชาติ  เห็นในแก่นแท้ของธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมากที่สุดคือ  กฏไตรลักษณ์  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

ผู้ ที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีสูงสุด   แต่กลับมาสอน....เรื่องการพัฒนาจิตใจเป็นหลัก  จึงดูเหมือนเป็นการสวนทางกันอย่างยิ่ง กับโลกในยุคปัจจุบันนี้.

มนุษย์ต่างดาวเน้นปัญญาไม่เน้นปาฏิหาริย์



มนุษย์ต่างดาวเน้นปัญญาไม่เน้นปาฏิหาริย์
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่  8 )

..

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เพราะว่าภพมนุษย์ของเจ้า   มันสามารถมองเห็นคนที่มีความทุกข์กว่าเจ้า  มีความสุขกว่าเจ้า  คนรวยกว่าเจ้าคนจนกว่าเจ้า  สัตว์เดรัจฉานหรือสิ่งที่มีความแตกต่างนั้น จะทำให้เกิดปัญญาโดยแท้จริง  เพราะฉะนั้น ทำไมภพมนุษย์จึงเป็นภพที่สามารถบรรลุธรรมได้  ทั้งที่พวกเจ้าก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วเนี่ย..  ทำไมพวกเจ้าจึงเป็นภพที่สามารถบรรลุธรรมได้มากที่สุด  สามารถสร้างบารมีได้มากที่สุด  เพราะอะไร  เพราะมันมีหนทางให้เกิดปัญญา 
 
เพราะ ฉะนั้นตัวของเจ้ามันก็ไม่ใช่ของเจ้า  เอาปัญญาไปไตร่ตรอง  แล้วลดละซะ  มันก็จะได้บรรลุธรรมไปเอง....เออ..เพราะฉะนั้น ยิ่งมีความเจ็บปวด ยิ่งน่าสร้างบารมีน่ะ  เพราะสร้างบารมีแล้วเจ็บปวด แต่อุตสาหะสร้างบารมี  นี่จะเป็นบารมีเสียดทานไป  แต่ถ้าเป็นเทวดาแล้ว  สร้างบารมียังไงก็ไม่เหนื่อย  ไม่หิว ไม่ต้องทำงาน  ไม่ต้องบากบั่น  ฝนตกก็ไม่เปียก  ลมพัดมาก็ไม่หนาวเกินไป  ไม่ร้อนเกินไป  สบาย   เพราะฉะนั้น เทวดาสร้างบารมีแล้ว  ก็ยังได้บารมีน้อยกว่าพวกเจ้า 
 
เพราะ ฉะนั้น พวกเจ้าฝนตกก็ยังมานั่งในศาลา  ยังอดทนกันไป  นี่คือการเสียดทานแรงบารมี  ต้องมีการเสียดทาน  ยิ่งใครเสียดทานมากก็ได้มาก  ทำไมพระพุทธองค์ท่านบารมีมากขั้นดุสิตเทพ  ลงไปแล้ว  ก็ยังเสียดทาน  เป็นมนุษย์ยังต้องไปลำบากลำบนอยู่ตั้ง ปี  เจ้าถึง 6 ปีกันมั๊ยเนี่ย...อีกไม่นานมันก็จะวิบัติกันอยู่แล้ว ทน ๆ กันหน่อย..
 
เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเจ้าเนิ่นช้าไป  ทำไมต้นพุทธกาลเขาบรรลุธรรมกันง่าย ๆ ล่ะ  เขาเจอของจริง  แล้วเขาไม่รั้งรอ  เพราะเขาไม่มีวิชาสอนที่มันผิด  วิชาที่สอนกันในยุคเสื่อมมันสอนให้ยึดติดกันเยอะ สอนธรรมะแต่ให้ยึดติดวิชา  มันทำไมถึงเป็นอย่างนั้น...
 
ในยุคของสมัยก่อน เขาสอนธรรมะบอกต่อกันไป  ไม่มีการเคลือบแคลง และก็บรรลุธรรมกันไปได้โดยเร็วไว  เพราะอะไร  เพราะเขาสั่งสมบุญของเขามาจนถึงที่สุด  พวกเจ้ามาถึงกึ่งพุทธกาลแล้ว  บุญไม่ใช่น้อย ๆ น่ะ  มาถึงตรงนี้ได้น่ะ ไม่ใช่บุญเล็กบุญน้อย  มากนะทำกันมาเยอะแล้ว  เนิ่นช้ามาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่ได้บรรลุธรรม  ชาตินี้ต้องบรรลุธรรมให้ได้นะ  แต่จะบรรลุธรรมด้วยอะไร  ตาทิพย์เหรอ..ไม่ใช่  ด้วยเหาะเหินได้เหรอ..ไม่ใช่  เจ้าไม่ต้องไปหัดหรอก  เหาะเหินเดินอากาศน่ะ  นก...น่ะนะ..มันไม่ต้องหัดเลย  มันเกิดมาแม่มันสอนหน่อยเดียวมันก็บินได้  แต่อะไรที่มันด้อยกว่าเรา   ทำไมมันถึงบินได้  และทำไมมันถึงเป็นสัตว์เดรัจฉาน  เพราะมันไม่มีปัญญา  เพราะฉะนั้น  เจ้าดูซิ...เจ้าเป็นคนเดินดิน แต่เจ้ามีโอกาสที่จะมีปัญญาสูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน   
 
เพราะ ฉะนั้น  เจ้าไม่ต้องไปเรียนวิชาเหาะเหินเดินอากาศ  ตาทิพย์ หูทิพย์  หมาป่ามันมองเห็นกลางคืนดีกว่าเจ้ามันไม่ต้องมีกล้องส่องทางไกล  เพราะฉะนั้นธรรมชาติมันสร้างสรรค์ทุก ๆ  อย่าง  แต่ธรรมชาติที่ดีที่สุดคือมนุษย์  เพราะมนุษย์มีอะไร  เพราะมนุษย์มีปัญญาสามารถไตร่ตรอง  อะไรดี  อะไรชั่ว  อะไรถูก  อะไรผิด  อย่าใช้ปัญญาตรงนี้ไปในทางที่ผิด  เจ้าจะดิ่งนรก  ถ้าไปในทางที่ถูก  เจ้าจะหลุดพ้นจากโลกนะ   ....  โลกุตระธรรมนั้นคือสิ่งสุดยอด...
 
แต่ มันต้องใช้แรงเสียดทานเยอะ  มันไม่ใช่ไปด้วยการยกยอปอปั้น  มันต้องไปด้วยการโดนสาปแช่งบ้าง  โดนคนว่าบ้าบ้าง  ที่นี่จะต้องโดนคนว่าบ้ากันหมดทุกคน   ยิ่งใครบารมีมาก  ก็จะต้องโดนว่าบ้ามาก  เพราะอะไร  เพราะมนุษย์โลกมันไม่เข้าใจหรอก   เพราะฉะนั้น ใครทนอยู่ได้   ก็แปลว่า...เราเห็นว่ามันจริง    เราทนอยู่ได้  แปลว่าเราละการยึดติดในลาภยศ ชื่อเสียงของเราได้มาก เพราะฉะนั้นมันจะเป็นสิ่งที่บอกฟ้องอยู่แล้ว

สำหรับเราสาวกของพระ พุทธองค์  ศาสนาพุทธต้องใช้ปัญญานำ  เพราะอะไร  เพราะว่าพื้นฐานแต่ละบุคคล  ข้าพเจ้าไม่พูดถึงที่อื่น  พูดถึงแต่ในที่นี้  แต่ละคนที่เรียงรายกันมาอยู่เนี่ย  จะบรรลุธรรมได้ต้องใช้ปัญญานำ..
..........................................