วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต10/10/41


การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เปล่งพระสุรเสียง(เสียงหัวเราะ) อันเป็นสัญญาลักษณ์ของท่านก่อนที่จะกล่าวให้โอวาท .....  สาวกใหม่  ไม่ต้องตกใจนะ  พระญาณของข้าพเจ้าจะต้องลงมาในสัญญลักษณ์นี้ทุกครั้งไป  ใครที่เคยได้ฟังบันทึกในพระญาณของข้าพเจ้านะ  ถ้าไม่ใช่สัญญลักษณ์นี้  ไม่ใช่ของจริง  สมาชิกใหม่มีหลายคนนะ
 
 
(จ.ส.อ.เชิด  ชื่นสำนวน) มีสมาชิกมาจากฝรั่งเศส จะมาพบท่าน ?
 


(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ไหนล่ะ ... มาซิ  เจ้าไม่ใช่ใครอื่นไกลหรอกนะ   เป็นผู้ที่มีบารมีในการอธิฐานจิตลงมา  ยังไงซะก็ต้องมาเจอกัน  พรรคพวกเก่า     เจ้าเพิ่งมาสัมผัสที่นี่  อาจจะยังไม่รู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้ทำกันมาแต่ดั้งเดิม 
 
สำหรับข้าพเจ้า  ได้เคยกล่าวในกาลก่อนแล้ว  แต่ใน ณ ที่นี้  ก็จะกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า  ข้าพเจ้า " ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต "  ข้าพเจ้าได้นำพระญาณ และนำวัตถุที่พวกเจ้าเรียกกันว่า "ยานอวกาศ" นั้น  ข้าพเจ้า  อนุญาตให้สมาชิกของข้าพเจ้าซึ่งเป็นกองทัพ  ในโลกของเจ้าเรียกว่าทหาร  หรือเป็นราชองครักษ์ของข้าพเจ้า  เปิดให้ดูด้วยตาเนื้อของพวกเจ้า  จำนวนหนึ่ง  แต่ที่พวกเจ้าได้รับรู้ว่า  ข้าพเจ้าได้นำกองบัญชาการ   ซึ่งผู้ที่ได้พูดเมื่อสักครู่นี้  ข้าพเจ้าก็เล็งเห็นในวาระจิตว่าจะเป็นผู้เผยแพร่ข่าวสารให้มีคุณภาพ  มีความน่าเชื่อถือ  ก็ให้เขาสามารถบันทึกภาพกองบัญชาการของข้าพเจ้า  ครั้งที่พวกเจ้าได้เห็นกัน    ดังบันทึกในภาพของมนุษย์โลกที่เจ้าเรียกกันว่า วี.ดี.โอ. นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้า  ซึ่งเป็นทหารองครักษ์ของข้าพเจ้า
 
ทำไม ต้องนำกองบัญชาการลงมาในโลกมนุษย์ด้วย  เพราะโลกมนุษย์ของเจ้าในภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น  นอกจากภัยจากธรรมชาติ   ยังมีภัยจากน้ำมือมนุษย์  นั่นก็คือ  มนุษย์พวกเดียวกับเจ้านี่เอง  การที่พวกเจ้าได้รับรู้จากคำทำนายในศาสตร์ต่าง ๆ  ในศาสนาต่าง ๆ นั้น  สงครามโลกซึ่งข้าพเจ้าได้เคยกล่าวไว้ในกาลก่อนนั้น  แต่ทั้งนี้พวกเจ้ายังมีความขัดข้องใจกันว่า  มันจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่  ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง  เปรียบเทียบให้ฟังกับมนุษย์โลกของเจ้า 
 
สมมุติ นะ  อันนี้เป็นการเปรียบเทียบ  ในโลกมนุษย์ของเจ้ามีการสอบ  เปรียบเสมือนบุญบารมี  แต่ในยุคนี้คนส่วนใหญ่  ถ้าเทียบบารมีแล้วมันจะสอบตกในจำนวนมาก  มันไม่มีบารมี  มีแต่แรงกรรม  ที่ทำกรรมชั่วกันในส่วนมาก  ถ้าจะวัดกันก็คือ "สอบตก" 
 
ทีนี้  ในการ "สอบตก" ของพวกเจ้า  ถ้ามนุษย์ในส่วนใหญ่ปล่อยให้สอบโดยสติปัญญาของมนุษย์เองนั้น  มันก็สอบตกไปในส่วนมาก  หรือพวกเจ้าเรียกว่า "สอบไม่ผ่าน"  ถ้าเป็นชั้นของมนุษย์ก็ต้องเรียนซ้ำชั้นหรือไง
 
แต่การที่เป็นเรื่อง ของ  "ความเป็น ความตาย"  เป็นเรื่องของ "บุญบารมี"   เป็นเรื่องของ "กรรม" นั้น  มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้น  การที่ทวยเทพทั้งหลาย  การที่พระญาณชั้นสูง ๆ ท่านเล็งเห็นว่า   มนุษย์ถ้าปล่อยให้ช่วยเหลือกันเองแล้ว  มันแทบจะช่วยตัวเองกันไม่ได้  เพราะฉะนั้น  การที่พระญาณทั้งหลายท่านได้ลงมาช่วยเหลือมนุษย์  มันก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้มีการ "สอบซ่อม"   เจ้าเข้าใจไหม
 

ช่วง เวลานี้เป็นนาทีทอง   ให้พวกเจ้าได้มีการสอบซ่อมในบุญบารมี  เออ..เปรียบเทียบกันนะ  อย่าเอาไปคิดกันจนเกินตัวนะ  มันไม่ได้อย่างนั้นหรอก 
 
กับการที่ทวยเทพท่านมาบอก   ได้มีการอนุโมทนาจากญาณของข้าพเจ้า  และจากพระญาณของข้าพเจ้า  เหมือนการเปิดปัญญาให้พวกเจ้าได้มีโอกาสรับรู้  ได้มีโอกาสกลับใจ  ได้มีโอกาสกลับทั้งตัว  กลับทั้งใจ  ก่อนที่มหันตภัยครั้งใหญ่มันจะทำลายชีวิตมนุษย์ในส่วนใหญ่ไป
 
เพราะฉะนั้น  จะมีผู้เหลือรอดจากการสอบซ่อมในครั้งนี้  จากการเมตตาของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  จากธรรมของพระพุทธองค์
 

ใน ช่วงเวลานี้  เป็นเวลาที่ดี  ที่พวกเจ้าจะนำปัญญามาไตร่ตรองในสถานที่นี้ว่า  เขาทำอะไรกัน  เรื่องราวมาแต่หนใด    มันมีความน่าเชื่อถือได้หรือไม่  เพราะถ้าเจ้ามันเพลิดเพลินทางโลกกันแล้ว  เพราะโอกาสในระยะเวลากันใกล้นี้แล้ว    ก็จะไม่มีการที่จะสามารถกลับทั้งตัว  กลับทั้งใจ  เข้ามาสะสมบุญบารมี  มันเหลือเวลาอีกน้อยแล้ว      ในการที่ข้าพเจ้าได้เล็งพระญาณจากการที่พวกเจ้าสนทนากันนั้น  เออ...บางคนข้องใจ  ข้าพเจ้าก็จะตรัสในสถานที่นี้เลยว่า....สงครามโลกครั้งที่ 3 ที่พวกเจ้าเกรงกันนั้น  มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะถึงแม้ว่าจะมีการลงมาช่วยเหลือจากพระญาณของทวยเทพต่าง ๆ จำนวนมากมายนั้น  ก็สามารถจะสกัดกั้น  หรือช่วยได้กับผู้ที่มีบารมี  ที่จะช่วยจากหนักให้เป็นเบา  ดังที่องค์พระพิฆเณศร์  ได้รับสื่อพระญาณ   และได้ทำตามสื่อพระญาณนั้น ถูกต้องที่สุด  ท่านเป็นผู้เสียสละ  สมบูรณ์ที่สุดในส่วนของท่าน 

แต่สำหรับ  "กรรมดำ"  หรือ "อกุศลกรรม"  ที่รวมกันในส่วนมากนั้น  มันเกินจะต้านทานอยู่   เพราะฉะนั้น  การที่เทพทั้งหลายท่านได้ลงมาสร้างบารมี  รวมทั้งมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาราต่าง ๆ  ที่ท่านได้ลงมาอนุโมทนา  ไม่ใช่แต่เฉพาะข้าพเจ้า  การที่ "ดาวอังคาร"  ที่พวกเจ้าได้รับการบอกเล่า  ซึ่งท่านได้ติดต่อสื่อสารกับผู้ที่มีบารมีท่านหนึ่งในโลกมนุษย์ของเจ้านั้น  ซึ่งบัดนี้  ผู้ที่ยิ่งใหญ่แห่งดาวอังคาร ซึ่งเจ้าเรียกกันว่า  "ชั้นยอด"  นั้น  ผู้ที่อยู่ยอดสุดนั้น  ก็ได้มาพำนักอยู่ที่กองบัญชาการของข้าพเจ้าแล้ว

เพราะฉะนั้น  ณ สถานที่นี้  มันไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว  พวกเจ้าได้มีโอกาสมา ณ สถานที่นี้  เป็นสถานที่รวมของบุญกุศล  เป็นสถานที่รวมของพระญาณอันศักดิ์สิทธิ์   แต่พวกเจ้าจะสามารถรับในความศักดิ์สิทธิ์นั้น  เป็นไปได้มากน้อยเท่าไร   นั่นก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ หรือกำลังบุญของพวกเจ้า  จะสามารถเข้าใจได้ลึกซึงไหม  ถึงสิ่งที่ทำไมพระญาณต่าง ๆ ทั้งทวยเทพ  ทั้งมนุษย์ต่างดาว  จึงได้มารวมกันอยู่    ที่นี้  เขากำลังจะทำอะไรกัน  เขามีจุดประสงค์อะไรกัน....

(ตอนที่ 2 ) 
 




ใน ปัจจุบันนี้  เจ้าอาจจะเห็นว่า  มีบุคคลน้อยนักถ้าเที่ยบกับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่  แต่พวกเจ้าไม่ต้องหวั่นใจกันไปหรอกนะ   เพราะต่อไปสถานที่นี้ จะเป็นแหล่งรวมของสรรพวิชาในศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะเป็นแหล่งรวมของผู้มีบารมีที่ได้ไปศึกษาในศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะต้องมารวมกัน 

เพราะว่าในภัยธรรมชาติ  เภทภัยของสิ่งต่าง ๆ และจากบุญบารมีของพวกเขา  จะบีบให้มารวมกัน  ทำไมจึงต้องมารวมกันน่ะรึ....เพราะว่าโลกมนุษย์ต้องมีความสามัคคีเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน  มีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน  มีการต้องการช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันด้วยจิตใจของพวกเขาเอง   เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ผู้จะมีความทุกข์นานาประการจากภัยธรรมชาติ  และจากภัยทางสงครามโลก  ซึ่งอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเจ้า กัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ ผิวหนังของพวกเจ้ามันรับกันไม่ได้หรอกนะ  มันต้องมีการอนุโมทนาด้วยการปกป้องจากเทคโนโลยีของข้าพเจ้า  ซึ่งเผยแผ่ไปในนามของ "ใยแก้ว"  การสร้างใยแก้วก็คือ  การสร้างรังสี  การสร้างรัศมีในสถานที่ที่ปกป้องด้วยพระญาณที่มีอนุภาพมาก 
 
ข้าพเจ้า และมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาราต่าง ๆ ที่มาอนุโมทนา  ก็จะได้นำในเทคโนโลยีรวมกันสร้างที่พวกเจ้าเรียกว่า "ใยแก้ว" แต่พวกเจ้ามองกันไม่เห็นหรอกนะ  เพราะมันไม่ใช่วัตถุ  หรือว่าเป็นแก้ว  อย่างที่พวกเจ้าคิดกัน   มันจะเป็นสิ่งที่ปกป้องรังสีจากอาวุธนิวเคลียร์  หรือจากเทคโนโลยีของพวกเจ้า  ซึ่งโง่เขลาเบาปัญญานำมาทำร้ายกันเอง 
 
เพราะ ฉะนั้น  สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตกาลอันใกล้นี้  พวกเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์โลกเอ๋ย....อย่าประมาทกันอยู่เลย  เจ้าลองมองดูรอบตัวเจ้า  ตั้งแต่แนวนี้ไปจนรอบนะ  จนสุดเขาเมืองลับแลที่บังอยู่  พวกข้าพเจ้าได้นำพระญาณ และได้นำยานอวกาศ  ซึ่งเป็นวัตถุลงมาปกป้องพวกเจ้าโดยรอบนี้แล้ว 

แต่พวกเจ้าล่ะ... นำธรรมะไปปกป้องดวงจิตของพวกเจ้าแล้วหรือยัง   
 
เพราะ ฉะนั้น  สิ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น  เวลาอีกไม่นานแล้ว  พวกเจ้าก็จะได้รับรู้ว่า  ภัยพิบัติตามธรรมชาติในรอบประเทศของเจ้า  และในประเทศของเจ้า  แม่พระธรณีเคลื่อนไหว  เพื่อเป็นการเตือนสำหรับผู้มีบารมีว่า  ควรจะ  ลด...ละ...เลิก  กันได้แล้ว  ชีวิตตัวเองก็จะเอากันไม่รอดอยู่แล้ว  ยังจะประมาทหลงยึดในลาภยศ...สรรเสริญ...กันทำไม
 
เจ้า ยิ่งอายุมาก  การยึดติดของพวกเจ้ายิ่งมากตามวัย  ตามอายุ  เพราะฉะนั้น  ภัยพิบัติตามธรรมชาติ  คนที่จะตายก็คือ  คนที่อายุในวัยรุ่น  และอายุในวัยปลาย  เพราะอะไร... เพราะในวัยรุ่นนั้น  ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น  ยังไม่สามารถที่จะสร้างบุญ  สะสมบุญกุศล  ก็จะตายกันในส่วนมาก  สำหรับวัยปลายนั้น  ซึ่งมีทั้งทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม  และมีการยึดติดในพื้นที่ที่อยู่  ในการยึดติดความรู้ที่เจ้าสั่งสมกันมา  เพราะฉะนั้นก็จะตายกันไปในส่วนใหญ่  ที่เหลือรอดก็จะเป็นบุคคลในช่วงกลาง   ที่ได้เข้ามาปฏิบัติในธรรมะ  มีการปรับปรุงดวงจิต มีการละการยึดติด  ในการที่ได้รับการฟังธรรม  ได้รับความรู้ใหม่ ๆ  การยึดติดของเขานั้นยังน้อย  เขาก็จะสามารถปรับปรุงดวงจิตของเขาได้ นั่นก็จะรอดกันในเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่
 
เพราะ ฉะนั้น  พวกเจ้าที่อยู่ใน ณ สถานที่นี้  เป็นสถานที่ที่มีพระญาณมีบุญบารมีลงมาในส่วนมาก  เจ้าก็ต้องเปิดใจ  ใช้ปัญญาไตร่ตรองฟังดูในเหตุและผล  ซึ่งธรรมะที่เขามาบอกนั้น  มันจริงไหมมันเพี้ยนไปไหม....ในพระพุทธศาสนา   และเจ้าก็จงดูด้วยตาเนื้อของเจ้าในรอบ ๆ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดมีในโลกของเจ้า  ในวัตถุเทคโนโลยีของพวกเจ้า  ประกอบกัน 
 
เพราะฉะนั้น  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้  ข้าพเจ้าได้รับความอนุเคราะห์จากพระญาณของเจ้าเมืองลับแล  ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่นี้  ในบริเวณนี้  เปิดโอษฐ์ให้ใช้ภาษามนุษย์ได้  เรียกว่าข้ามขั้นตอน  ไม่ต้องไปเรียนรู้ใหม่ 

(ตอนที่ 3)

.................

เพราะ ฉะนั้น  ธรรมะเป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นตัวคัดแยกอย่างโดดเด่น  บุคคลใดเข้าถึงธรรมะมาก  บุคคลนั้นก็จะเป็นอันดับต้น ๆ   พวกเจ้าก็ต้องฝึกฝนธรรมะ  เรียนรู้ธรรมะ  ฝึกการทำสมาธิในการฟังธรรม  ในการตัดกรรม  ซึ่งได้มีการบอกกล่าวกันแล้วในพระญาณของทวยเทพ  อันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะอะไร  เพราะบุญกุศลของพวกเจ้าจะสะสมได้ก็จากพระธรรมเท่านั้น  ที่ท่านมาชี้บอก  เจ้าจะไปสะสมจากเงินตรานั้น  จะนำมาใช้ในการคัดเลือกของข้าพเจ้าไม่ได้ 
 
เพราะ ฉะนั้น  60  บุคคล  ต้องทนแรงเสียดทาน  ของลาภยศ สรรเสริญ  เสียดทานของแรงวิบัติในสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น  วาระจิตของพวกเจ้า  ปัญญาสำคัญอันดับ บางคนจะให้ฝึกสมาธิใน 1 ปี จะให้เชี่ยวชาญมันเป็นไปไม่ได้  แต่ปัญญาที่เจ้าได้รับฟังธรรมนั้น  เจ้าสามารถไตร่ตรองและคิดกันได้   

เพราะฉะนั้น  สิ่งนี้เรียกว่าปัญญา  ปัญญาเป็นเอก  ซึ่งพระพุทธองค์ท่านได้ทรงสรรเสริญว่า  ธรรมะทุก ๆ เหล่านั้น  ปัญญานับว่าเป็นที่ ขันตินับว่ารองลงมา  เพราะฉะนั้น  60  บุคคล  ในที่นี้มี 1 ใน 60 บุคคลเป็นจำนวนมากนะ   แต่ปัญญาและขันติเจ้ามีไหม  ธรรมะอันดับ ขันติอันดับ พวกเจ้าต้องไปฝึกฝนกันให้มากนะ  สมาธิเป็นอันดับ รองลงมา
 
เพราะ ฉะนั้น   พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจนะ  ที่ไม่มีสมาธิ  ไม่มีตาทิพย์หูทิพย์ในปัจจุบันนี้ไม่เป็นไร  ถ้าได้รับการฝึกฝนจากข้าพเจ้าแล้ว  เจ้าจะสามารถรู้เห็นได้ในสิ่งที่มนุษย์โลกทั่วไป เขาไม่ได้รู้ได้เห็น 
 
เพราะ อะไร  ...  เพราะหลังจากภัยพิบัติแล้ว  มิติต่าง ๆ จะเปิด  ศาสตร์ต่าง ๆ จะเปิด  จะเหลือแต่เฉพาะผู้ที่มีบารมี  เพราะฉะนั้น  อภิสิทธิ์ต่าง ๆ มิติต่าง ๆ ความรู้ต่าง ๆ วิชาต่าง ๆ  เหาะเหินเดินอากาศ  เรียนรู้ใจคน  เดินทะลุกำแพงอะไรน่ะ   ไม่ต้องไปมองดูมนุษย์ต่างดาวเขาหรอก  เจ้าก็ทำได้  เพราะฉะนั้น  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ  ต้องคัดเลือกกันอย่างสุดยอด 

เพราะ ฉะนั้นในทุก ๆ คน  ก็ให้ฝึกฝนกันในวาระจิตของตัวเอง  ปัญญาอันดับหนึ่ง  ขันติอันดับสอง  สมาธิอันดับสาม  ต้องเน้นปัญญากันก่อนนะ  เข้าใจหรือยัง...?

(ตอนที่ 4)

...

(คุณ วิโรจน์)  ท่านผู้สูงสุดครับ  อยากจะถามว่าการพิจารณาคัดเลือกคนนี้จะยากไหมครับ  เพราะว่าสมัยนี้  อย่างนักการเมือง  นักธุรกิจ  หากดูสีหน้าปากพูดอย่าง  แต่ลับหลังก็เปลี่ยนแปลงเชื่อไม่ได้เลย  บ้านเมืองก็แหลกราญลงไปทุกวัน พูดเก่งเหลือเกินในรัฐสภา  อันนี้อยากถามผู้สูงสุดว่า  ท่านจะคัดเลือกอย่างไร?
 
(ผู้ สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าหรอกนะ  ข้าพเจ้าไม่ได้ให้มาปราศรัยแข่งกัน  ...เอ้า..100  คนมาเรียงปราศรัย  ใครปราศรัยดี พูดดี  ได้ไป  ... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ  เพราะฉะนั้นในวาระจิตของพวกเจ้า  ดวงจิตในส่วนลึกของพวกเจ้า มันโกหกข้าพเจ้าไม่ได้ 

เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง  ก็อย่างพวกนักการเมืองละนะ  ป่านนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า  ไปอยู่ขุมไหนก็ไม่รู้  เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีลาภยศ..สรรเสริญหน้าตากันในที่นี้  มันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น  อีกไม่กี่ปี  1 ปี 2 ปี 3 ปี  ถ้าพวกเขาดับชีวิตลงไป  ก็จะหายสมมุติกันไปแล้ว  ก็จะลงไปเจอของจริง นรกอเวจีมันมีจริง ๆ
 
วันนี้ เป็นวันดี  เป็นวันที่มีผู้ที่มีบารมีในเปอร์เซ็นต์แล้ว เรียกว่า 80%   เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่จะให้ความกระจ่างกับพวกเจ้า 

แต่ขอให้อย่างที่พระภิกษุสงฆ์บอกไว้
" ธรรมะใด ๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ..."  รับรู้ไปแล้วเอาไปนอน  เอาไปฝัน  เอาไปนึกคิดคำนึง  มันไม่ได้ประโยชน์หรอกนะ  รับรู้ไปแล้วต้องไปไตร่ตรอง  ไปคิดกันให้มาก  ทำกันเลย  ดังที่องค์อัมรินทร์ท่านให้สาวกหลักนั่นน่ะ... ไม่ต้องรู้มาก  แต่ให้ทำจริง ๆ นะ 

เพราะฉะนั้น  ธรรมะในรายละเอียดที่พวกเจ้ารู้  มันเกินพอแล้ว   ให้ทำจริงกันเสียทีเถอะนะ  มีปัญหาอีกไหมในวาระจิตของพวกเจ้าที่ได้ถามมา หรือปัญหาไหนที่ข้าพเจ้าได้หลงลืมในการตอบไปบ้าง  หรือไม่เคลียร์ในจิตใจของพวกเจ้า  ให้ถามกันมาใหม่เลย