วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

เดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์


เดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์
ข้อความส่วนหนึ่ง   
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต 
เมื่อวันที่ มีนาคม  2542 
ที่เขากะลา 

...................

เดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์
 

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  การที่เราทำไมถึงต้องเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์  ตรงนี้นะ เข้าใจให้ง่าย ๆ นะ 
 
เดิน ตามรอยบาทนั้น  ก็คือพระพุทธองค์ท่านมี 2 เท้าเหมือนเรา  ท่านเดินก้าวเท้าขวา เท้าซ้าย  รอยพระบาทนั้นจะเป็นแนวเดียวถูกมั๊ย  จงนึกถึง อย่าไปคิดอะไรที่มากมาย  การที่ท่านเดินตรงไปทางไหน  เดินเท้าซ้าย เท้าขวา  รอยพระบาทจะเป็นแนวเดียวนะ  ตรงนี้อุปมาอุปไมยให้เห็นชัดในกาลก่อน  เมื่อท่านเดินไปในแนวทางไหน  ขอให้เราสาวกทั้งหลายดูแนวทางของท่านแล้วก็เดิน  ซึ่งใครเดินได้ใกล้  หมายถึงใกล้ชิด  นั่นก็คือ  ท่านเดินเท้าซ้าย  เท้าขวาเนี่ย  เราห่างท่านไม่เกิน 2 - 3 ก้าวนี้  จักไม่ค่อยพลาด  แต่ถ้าท่านเดินไปแล้วประมาณ 1 กิโลเมตร   เรามาเดินนะ  คลำทางนะ  มันจะตรงมั๊ย  มันก็ต้องมีการเลี้ยวไปทาง  คนโน้นตะล่อมเข้ามาตรง  แล้วมันยาก 

มันยาก เพราะอะไร  เพราะเราไม่เห็นของจริง  ไปนู้นแล้ว  ลิบแล้ว  ตรงนี้มันจึงเป็นการยาก  ยากที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานเป็นกาลเวลาอันเนิ่นนาน  ถ้าเทียบกับอายุของเจ้าไม่รู้หลายช่วงตัว 
 
แต่การที่ท่านได้ทรง ตรัสไว้  ในการที่จะให้คำสั่งสอนของท่านในการบัญญัติหรือบันทึกไว้นั้น  เป็นศาสดาแทนองค์ท่านนะ   ตรงนี้ ถ้าเรามีความจริง  หรือเป็นคนจริง   ในการที่จะปฏิบัติตามในวาระของการที่จะเดินตามรอยบาทของพระพุทธองค์นะ  ถ้าเป็นคนจริง
 
ดังนั้น  การที่ท่านบัญญัติไว้ว่า  สิ่งทั้งหลายในพระไตรปิฎกนั้น  ท่านให้เรานับถือเหมือนการที่ท่านเป็นพระศาสดา  สั่งสอนเอาไว้  เพราะฉะนั้น  ตรงนี้เราต้องมาดูว่าในพระไตรปิฎกนั้น   ท่านสั่งสอนอะไรไว้บ้าง   ประมวลเหตุ ประมวลผล  ประมวลดูนะ   


หลัก ใหญ่ใจความก็ไม่พ้นไปจากตัวของเรานี่เลย  ไม่พ้นจากการพิจารณา  อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา ของตัวเรานี่เลย  ไม่พ้นจากธาตุ ขันธ์ พิจารณาความทุกข์
 

เพราะฉะนั้น  ทุก ๆ คนในที่นี้  หากจิตยังไม่ถึงอรหันต์  จะยังเป็นผู้ที่ไม่สามารถพ้นไปจากความทุกข์ไปได้ทุกคน  เพราะหากเราคิดว่า   ตัวเรานี้สุขแล้ว    ตรงนี้ขอให้ระลึกในวาระของท่านว่า  มันไม่จริงหรอกนะ  เพียงแต่ท่านอาจจะมีความทุกข์ที่มันผ่อนขึ้น  ถ้าเทียบกับผู้ที่ทุกข์แสนสาหัสในโลกมนุษย์ของท่าน  ท่านอาจจะผ่อนกว่าเขาหน่อย  แต่มันยังไม่พ้นความทุกข์  มันท่วมหัวนะ
 
แล้ว ก็ท่วม  ถ้าพูดถึง  ถ้าเรียกว่า   พวกชั้นบรรยากาศของพวกเจ้านะ  ความทุกข์มันครอบคลุมอยู่ในชั้นบรรยากาศนะ  คลุมอยู่  เพราะฉะนั้น  พวกเรายังจมอยู่ในกองทุกข์กันทุกคน 
 
เพราะฉะนั้น  ขอให้ตระหนักกันไว้ หากประมาทนิดเดียว  ความทุกข์มันจะกดหัวเรา  อยู่มันอย่างนี้แหละนะ  วนกันอยู่นี่แหละ  เพราะความทุกข์มันท่วมนะ   เรียกว่าชั้นบรรยากาศของเจ้าก็ได้ เพราะพวกที่ยังอยู่ในโลกีย์วิสัย  ลาภ ยศ สรรเสริญ  วนเวียนกันอยู่อย่างนี้  มันน่าเบื่อเหลือเกิน 
 
แต่ เพราะว่าไม่สามารถระลึกกันไปถึงชาติอดีตได้  ก็ยังคิดว่ายังสด  ยังใหม่กันอยู่นี่แหละ  หือ... เพิ่งเจอครั้งแรก  กามฉันทะ หรืออะไรก็ตาม  ยังคิดว่าครั้งแรก  มันไม่ใช่ 

ในเมื่อญาณของผู้ระลึกรู้ได้แล้ว ท่านจะรู้ว่า  โอ๊ย...วนเวียน  วนเวียน  เดี๋ยวก็ซ้ำกันอีก  ซ้ำกันอีก  วนเกิด เวียนตาย  เดี๋ยวเป็นพี่ เป็นน้อง  เดี๋ยวเป็นพ่อเป็นแม่  เดี๋ยวเป็นเพื่อน  จากเพื่อนที่เคยโกรธเคืองกัน  อาจจะไปเป็นพี่น้องที่คับข้องหมองใจกันก็ได้  หรือจะมาเป็นพ่อแม่  หรือพ่อลูกที่มีความขุ่นข้องหมองใจ  ตรงนี้มันวนเวียน ปนเปกันเหลือเกิน
 
เพราะ ฉะนั้น  ญาติทั้งหลายนะ  ก็ต้องเคยเกิดมาเป็นญาติกันสักชาติหนึ่งนั้นแหละ ในการพูดตรงนี้  พวกท่านจงมีจิตที่เมตตาซึ่งกันและกัน  เวลานี้ไม่ใช่อื่นไกล  เรานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน  พี่น้องกันทั้งนั้น     ในภพของร่างของมนุษย์ซึ่งพบเจอกันในตาเนื้อมนุษย์นี้  พี่น้องกันทั้งนั้น   หรืออาจจะเป็นญาติกันทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นตรงนี้เรามิอาจรู้ได้
 
แต่ สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า  การเวียนว่ายตายเกิดของเรานี้  นับภพนับชาติไม่ถ้วน  มันสาหัสนะ  นับภพนับชาติไม่ถ้วนเนี่ย    แต่ตอนนี้คนที่เขาประมาทก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  เพราะอะไร....  เพราะเขาคิดว่าเขาเพิ่งเกิดมาได้ 30 ปี , 40 ปี หรือ  50 ปี  เขาคิดว่าใหม่  แต่จริง ๆ แล้วไม่
 
อายุ ของข้าพเจ้าเป็นหมื่น ๆ ปีนั้น  ยังไม่เท่าอายุของการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเจ้า  เพราะฉะนั้น  การจะนับอายุ  หรือจะนับเรื่องอาวุโสในเรื่องของอายุมนุษย์นั้น  มันนับไม่ได้  พระพุทธองค์ท่านจึงทรงนับอายุ หรือบารมีของทางธรรมะตรงนี้  อายุทางโลกีย์วิสัย  มันนับไม่ได้  มันเวียนเกิดเวียนตายนะ  เดี๋ยวเป็นเทวดา  เดี๋ยวเป็นพรหม  อุบัติลงมาเวียนว่ายตายเกิดมันไม่รู้จักเท่าไร  ตรงนี้  เมื่อไม่มีการจำ หรือการระลึกชาติได้  ก็ยังคิดว่าสิ่งที่เราได้รับมานี้ใหม่อยู่เสมอนะ.